คุณแม่ชีอรนุช สันตยากร

การภาวนาต้องใช้เวลาสะสม

วันที่ 8 กันยายน 2567  

จริงๆ ภาพรวมในการเทศน์ การฟังธรรมะ โดยหลักแล้วก็เพื่อให้พวกเราเข้าใจหลักในการปฏิบัติ ที่เหลือที่สำคัญที่สุดก็คือ ‘พวกเราต้องปฏิบัติ แล้วก็ดูกายดูใจของพวกเราเอง’ ตรงนี้สำคัญที่สุด ฉะนั้นเวลาเราฟังธรรม ฟังหลวงพ่อจริงๆ แล้วก็ค่อนข้างครอบคลุมหมดแล้วนะ เพียงแต่ว่าผู้ช่วยสอนคนอื่นก็อาจจะมีแง่มุมต่างๆ ให้พวกเราได้เรียนรู้ แต่ที่สำคัญที่สุดเราฟังหลักแล้ว มันต้องไปปฏิบัติเอา

จริงๆ ค่อนข้างเห็นใจนะ จริงๆ พวกเรามันค่อนข้างลำบาก ตั้งแต่ต้องทำมาหากินเลี้ยงตัวเอง ใช้ชีวิตอยู่ในโลก ปัญหาต่างๆ มันก็มีเยอะแยะไป ไหนต้องพากเพียรภาวนาเพื่อให้เข้าใจธรรมะ พูดง่ายๆ 24 ชั่วโมงของพวกเรานี่มีไม่มาก แทบจะไม่พอเลย มีสิ่งที่เราจะต้องทำมีมากมาย แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องจำเป็น การใช้ชีวิตพวกเราอายุอย่างมากที่สุด ก็คงเฉลี่ยก็คือไม่เกิน 100 ปี อยู่กันได้ชั่วคราว ถึงเวลานะเดี๋ยวก็แก่ เดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็ตายกันไป แยกย้ายกันไป เพราะฉะนั้นชีวิตในโลกจริงๆ มันไม่ได้ยาว มันสั้น เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเจอปัญหาชีวิต เจอปัญหาในโลกที่เราจะต้องเผชิญมันก็ขึ้นกับวิบากของแต่ละคน แต่ละคนวิบากเนี่ยไม่เท่ากัน ขึ้นกับกรรมในอดีตที่เคยทำมา สิ่งที่เราต้องพบต้องเจอในชีวิต มันเป็นผลสืบเนื่องจากกรรมในอดีตทั้งสิ้น

ฉะนั้นเวลาที่เราเจอปัญหาอะไรอย่างนี้ ให้วางใจอย่างนี้นะว่า วิบากมาถึงเราก็ชดใช้มัน หน้าที่ของเราก็คือทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แก้ปัญหาเท่าที่ทำได้ ที่เหลือก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของกรรมไป คือทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่าไปซีเรียสจริงจังกับปัญหาในชีวิตมากนัก เพราะว่ามันเป็นเรื่องชั่วคราวทั้งหมดแหละ ถึงเวลามันก็ผ่านไป…

แม่ ตั้งแต่เด็ก จริงๆ แล้วที่บ้านนะชอบฟังเพลงกัน รู้จักนักร้องที่ชอบๆ กัน คุ้นเคยพวกคุณสุรี คุณสุเทพ คุณธานินอะไรอย่างนี้ มันพอมาถึงจุดนี้เราก็จะพบว่าคนที่ร้องเพลงเก่งๆ ดีๆ สมัยที่เรายังเด็กๆ อยู่นะ ตอนนี้ไม่มีเหลืออยู่เลย แทบจะไม่เหลือนะ ทุกคนก็จากไปหมด สิ่งที่ทำมาสิ่งที่ดีอะไรอย่างนี้ มันก็แค่คนจำชั่วคราวนะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป แล้วแม่อายุมาจนถึงป่านนี้นะ คนที่รู้จักตายไปเยอะละ มันก็จะผลัดเปลี่ยนกันไปเราก็จะเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติ ฉะนั้นชีวิตมันเป็นเรื่องที่ไม่ยืนยาวเลยนะคะ อย่าไปจริงจังกับมันมากนัก แก้ปัญหาเท่าที่แก้ได้ ที่สำคัญที่สุดนะเราต้องเหลือเวลาไว้ให้ตัวเองเพื่อมาปฏิบัติ อย่าลืมทุกวัน ข้อเรียกร้องของหลวงพ่อ 3 ข้อ คือ (1) รักษาศีลไว้ (2) ทำในรูปแบบทุกวัน (3) การมีสติในชีวิตประจำวัน สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่จำเป็นนะเพื่อความพ้นทุกข์ของเรา เราเกิดตายมานานแล้วนะคะ ทุกคนสะสมบารมีมาแตกต่างกัน แต่การที่จะภาวนาเพื่อความพ้นทุกข์มันต้องสะสมบารมีให้พอ เรานึกถึงภาพรวมเลยก็ได้ สมมุติว่าเราสะสมบารมีมาน้อย ไม่ต้องท้อใจ ทุกวันเดินต่อสะสมต่อวันหนึ่งมันก็ถึง แต่ถ้าหากว่าเราท้อแท้ใจเราเลิกปฏิบัติไป เราก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เราก็เสียเวลาไปชาติหนึ่ง

ถ้าเราอยากพ้นทุกข์เราก็ต้องเริ่มเดินเหมือนกับตอนนี้นะคะ ฉะนั้นจริงๆ คือไม่ว่าทุกคนจะมีบารมีแค่ไหน ถ้าเราอยากพ้นทุกข์เราต้องเดินต่อไป เราจะเป็นคนที่อาจจะบารมีน้อยหรืออาจจะเป็นคนที่บารมีเยอะเราก็ต้องเดินเหมือนกัน นี่ในแง่ของการเจริญปัญญานะ ก็คือเราต้องเรียนรู้กายใจของเราตามความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้หลวงพ่อสอนมาเยอะแล้ว มีแต่ต้องปฏิบัติให้มาก ดูให้มาก

อีกอันหนึ่งก็คือเรื่องของกิเลส กิเลสแต่ละคนสะสมมาไม่เท่ากัน คนที่กิเลสเยอะมันเป็นผลจากการสะสมความเคยชิน ความเคยชินที่จะมีกิเลสนะ ถ้าเราเคยตามใจมัน…มันก็จะพอกพูนขึ้นมา ถ้าเราขัดเกลาตัวเราเอง…กิเลสเราก็เบาบาง เพราะฉะนั้นเราจะกิเลสหนาหรือจะกิเลสบางขึ้นกับตัวเราเหมือนกัน ฉะนั้นถ้าสมมุติเราเห็นคนอื่นที่เขาดูกิเลสเบาบาง เห็นแล้วทำไมเขาดูมีความสุขจัง แล้วอยากมีความสุขอย่างนั้น เรามานั่งคร่ำครวญหรือมานั่งโอดครวญไม่มีประโยชน์ มันก็เหมือนกับการสะสมปัญญาเหมือนกัน ถ้าเราไม่สะสมเราก็ไม่มี ถ้าเราไม่ขัดเกลากิเลส กิเลสเราก็พอกพูนหนาขึ้น นี่คือทั้งหมดขึ้นกับการกระทำของเราทั้งหมดเลย

อีกเรื่องหนึ่งที่จะพูดก็คือภาพรวม หลักพวกเราเข้าใจแล้ว ทำยังไงเราถึงจะภาวนาได้ต่อเนื่องยาวนานไม่เลิก คือการภาวนาที่หลวงพ่อสอนทุกครั้งหลวงพ่อสอน 1 คาบ มันจะมีตั้งแต่ต้นจนจบให้เราเข้าใจหลักว่าเราภาวนายังไง แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้ยังไง อันนี้คือภาพรวมใช่ไหม แต่พูดง่ายๆ กว่าแต่ละคนจะภาวนาจนถึงเข้าใจธรรมะ เวลาที่เราภาวนานะมันไม่ได้สั้นๆ เหมือนที่เราคิด ที่พูดนี่ต้องพูดกันให้ชัดเจน แต่ละคนกว่าจะเติบโตเข้าใจธรรมะ บางคนใช้เวลา 7 เดือน บางคนใช้เวลา 7 ปี บางคนใช้เวลา 7 ชาติ ก็คือแล้วแต่ว่าแต่ละคนสะสมมาเท่าไหร่ กำลังจะบอกว่าการภาวนามันไม่ได้เร็วได้อย่างใจนะ ทุกคนต้องสะสมค่อยๆ ก้าวเดินเอา เพราะฉะนั้นใจร้อนไม่ได้นะ อันนี้คือย้ำพวกเราไว้นะงานนี้เป็นงานระยะยาว เราภาวนามาทำไมมันไม่ก้าวหน้าซะทีอะไรอย่างนะ ให้เรามองนะตัวนี้มันเป็นงานที่สะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต้องใช้เวลา

การขัดเกลากิเลสก็เหมือนกัน เวลาเราใช้ชีวิตทางโลกแล้วเรามีปัญหานะ กิเลสที่เราจะเห็นเยอะที่สุดก็คือ ‘ตัวโทสะ’ โทสะบางคนนะขี้โมโห อย่างหลวงพ่อสอนบอกว่ามีกิเลสนะให้รู้ทันนะ ไม่คล้อยตาม ไม่ต่อต้านดูเขาทำงาน โดยทฤษฎีมันคือตัวนี้ แต่ว่าเวลาที่พวกเราทำจริงๆ มันไม่ใช่ทำได้ง่ายขนาดนั้น แต่ว่าถ้าเราฝึกฝน เราก็จะค่อยๆ ดีขึ้น หมายถึงถ้าเราไม่ตามใจกิเลส ต้องรู้จักหักห้ามใจ รู้จักข่มใจ รู้จักเรียนรู้ตัวเอง

อย่างคนขี้โมโหนะ รู้ทันกิเลสโมโหทีหนึ่ง ความจริงแล้วอนุสัยเราจะบางลง แต่ว่ามันจะไม่เห็นเป็นพัฒนาการที่ชัดเจนว่า เอ้ย…ฉันโมโหนะ แล้วฉันดูปุ๊บแล้วฉันหาย มันไม่ได้หายทันที คือพวกเราภาวนาเราก็รู้อยู่ใช่ไหม…มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ว่าถ้าเราเดินทุกวัน ถ้าเราสะสม เราสู้…มันจะมีผลแน่นอน แต่ผลที่มันเกิดขึ้นมันทีละนิดๆ ฉะนั้นพวกเราอย่าใจร้อน ขัดเกลากิเลสของตัวเราเอง การสะสมการเจริญปัญญา ต้องใช้เวลา ต้องสะสม ฉะนั้นเราอย่าเพิ่งท้อแท้ใจนะ เพียงแต่ว่าพวกเราเดินทุกวันอย่าเลิก อินทรีย์ของพวกเราก็จะเข้มแข็งขึ้นแน่ๆ แต่ว่าเขาเรียกว่าช่วงเวลาที่มันจะประสบความสำเร็จมันไม่ได้เร็วอย่างที่เราอยากได้

ทุกคนทำในรูปแบบ เวลาที่ทำในรูปแบบก็จะเห็นบางทีก็ดี บางทีก็ไม่ดี แล้วภาพรวมก็คือดีน้อยกว่าดี อันนี้จริงๆ ก็คือมาตรฐานปกติของทุกคน อันนี้แม่บอกเพื่อให้พวกเรามองภาพรวมให้ชัดเจน ว่าแต่ละคนกว่าจะเติบโตต้องใช้เวลา อย่าใจร้อนนะคะ

อันนี้พวกเราจะได้รู้ว่า เอ๊ะ…เราจะเดินเพื่ออะไร แล้วมันก็ต้องมี ‘ความอดทน’ เป็นธรรมะตัวสุดท้ายนะ ที่อยากให้พวกเราฝึกเอาไว้ วันก่อนหลวงพ่อก็พูดเรื่องนี้เหมือนกันนะ คือจริงๆ แม่ตั้งใจจะพูดเรื่องนี้แต่แม่ก็อุบไว้ไม่บอกหลวงพ่อหรอก แต่ว่าไปสอนพวกเด็กๆ วันเสาร์เช้า พอหลวงพ่อเทศน์ หลวงพ่อเทศน์เรื่องนี้หมดเลย เพราะฉะนั้นถ้าเรื่อง ‘ความอดทน’ ไปฟังหลวงพ่อซ้ำนะคะ เทศน์เมื่อวันเสาร์นะ หลวงพ่อจะเทศน์ได้ดีกว่าแม่อยู่แล้ว แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ตั้งใจไว้ว่าจะมาบอกพวกเรานะคะ คือหลักพวกเรารู้แล้ว ทำยังไงเราจะเดินต่อไปไม่หยุด…อย่าเพิ่งหยุด คือถ้าเราหยุด…คือเราไม่ได้เดินต่อ ทางพ้นทุกข์มันก็อยู่ไกลออกไป

ทางพ้นทุกข์ไม่ได้มาลอยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างนะ เกิดจากเหตุทั้งหมด ถ้าเราสะสมความเข้าใจในกายในใจ ปัญญาเรามากขึ้น วันหนึ่งเราก็พ้นไป แต่ถ้าเราไม่ภาวนา ไม่สะสมมันก็ไม่มีวันที่จะพ้น อันนี้มันคือเรื่องจริง เหมือนกับกิเลสเหมือนกัน ถ้าเราไม่ฝึกฝนไว้ พยายามขัดเกลาตัวเราเอง กิเลสเรามันก็พอกพูนขึ้น ปกติแล้ว ‘ใจ’ มันมีธรรมชาติที่ไหลลงต่ำอยู่แล้ว ถ้าไม่ขัดเกลานะส่วนใหญ่แล้วก็คือกิเลสจะพอกพูน ยิ่งแก่ อย่างบางคนสังเกตไหม คนขี้โมโหนะ ยิ่งแก่ก็ยิ่งขี้โมโหแรงขึ้น คนที่ยึดในความคิดความเห็นยิ่งแก่ก็จะยิ่งรุนแรงพูดกันยากพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็อายุเยอะขึ้นสมองเสื่อมไป กิเลสก็ยิ่งทำหน้าที่ได้เยอะขึ้นยิ่งหนักขึ้น ชาติถัดๆ ไปมันก็แรงขึ้นถ้าเขาไม่ขัดเกลา อันนี้ 2 ตัวที่จะบอกเลยว่า ไม่ว่าจะเรื่องการสะสมปัญญา การที่จะสู้กับกิเลส พวกนี้เราต้องเดิน เราต้องสู้ห้ามเลิก ถ้าเลิก…เราก็เท่ากับว่าเราถอยหลัง ก็บอกพวกเราไว้อย่างนี้

แล้วที่เห็นอีกอันหนึ่งก็คือพวกที่ภาวนาแล้วเนิ่นช้า ส่วนใหญ่แล้วนะที่หลักๆ เลยก็คือไปติดอยู่ใน ‘ภพ’ ถ้าเราภาวนาทุกวันในรูปแบบทุกวันเลย แล้วเราก็ใช้ ‘จิต’ ที่ภาวนาในรูปแบบทุกวัน จิตนะเหมือนเดิมทุกวันเลย ให้สังเกตไว้แล้วนะว่าเรากำลังติดอยู่ ถ้าจิตเราเหมือนเดิมทุกวันเป็นปีๆ แสดงว่าเวลาที่เราเริ่มปฏิบัติเนี่ยเราก็ไปสร้างภพอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่เป็นภพนักปฏิบัติแล้วเราก็ไปแช่อยู่ ตรงนี้มันไม่ได้เดินปัญญา จิตมันไม่ได้รู้สึกตัวเต็มที่ มันยังเข้าไปแช่อยู่ ตรงนี้มันก็ไม่ได้เดินปัญญา

เหมือนบางคนภาวนามา 10 ปี 20 ปีแต่ไม่คืบหน้านี่นะ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องพวกนี้ ฉะนั้นพวกเราต้องคอยเอะใจเหมือนกันนะคะว่า เอ๊ะ…เราเดินจงกรมเรานั่งสมาธินะ เราเห็นร่างกายจิตใจของเราที่เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ไหม ถ้าเราเห็นอยู่นะก็พอใช้ได้ แต่ถ้าพอเราเริ่มภาวนาปุ๊บ…มันเข้าที่เลย อยู่คงที่ตลอด อันนี้ต้องรู้ไว้ด้วยแล้วนะ แสดงว่าเราต้องไปติดภพอะไรสักอย่างหนึ่ง ถ้าเราติดอยู่ในภพอย่างนั้นนะ ภาวนากี่ปีๆ มันก็ไม่พัฒนา แต่ถ้าเราเห็นจิตใจที่เปลี่ยนแปลง มันก็มีอีกอันที่จะต้องดูก็คือขณะที่เราเห็นร่างกายจิตใจที่เปลี่ยนแปลง จิตใจเราตั้งมั่นรู้เนื้อรู้ตัวหรือเปล่า หรือจิตใจเราออกไปอยู่ข้างนอกๆ ไม่เข้าฐาน มันก็ต้องมีจุดทางแยกที่จะผิดอยู่ได้เรื่อยๆ นะคะ

อันนี้ลองไปสังเกตดู หลวงพ่อพูดเสมอว่าให้พวกเรามีใจที่ตั้งมั่น ถ้าเราไม่มีใจที่ตั้งมั่นมันจะดูกายดูใจไม่ได้จริงนะคะ ฉะนั้นพวกเราต้องคอยรู้สึกตัวไว้บ่อยๆ อย่างเราเดินจงกรมก็คอยรู้สึกตัว เรานั่งสมาธิก็คอยรู้สึกตัวบ่อยๆ มันจะช่วยให้จิตใจเราตั้งมั่นอยู่กับเนื้อตัวมากขึ้น

คุณแม่ชีอรนุช สันตยากร
วัดสวนสันติธรรม จังหวัดชลบุรี
8 กันยายน 2567
ณ บ้านจิตสบาย

©️มูลนิธิสื่อธรรมหลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช

ที่มาคลิป: https://youtu.be/Uy96MhlM3rI

#การภาวนาต้องใช้เวลาสะสม #คุณแม่ชีอรนุช #คุณเเม่นุช #คุณแม่ชีอรนุชสันตยากร #ภาวนาเป็นงานระยะยาว #จิตตั้งมั่น #หลักในการปฏิบัติ #ดูกายดูใจ #หลวงพ่อปราโมทย์ปาโมชฺโช #หลวงปู่ปราโมทย์ #หลวงปู่ปราโมทย์ปาโมชฺโช #สิ่งจำเป็นเพื่อการพ้นทุกข์ #รักษาศีล #ทำในรูปแบบทุกวัน #การมีสติในชีวิตประจำวัน #สะสมบารมีให้พอ #ภาวนาเพื่อพ้นทุกข์ #การเจริญปัญญา #เรียนรู้กายใจของเราตามความเป็นจริง #ขัดเกลากิเลส #สะสมความเคยชิน #ภาวนาให้ต่อเนื่องยาวนาน #อย่าใจร้อนอยากได้ผลเร็ว #สะสมปัญญา #สู้กับกิเลส #ภพนักปฏิบัติ #อดทนธรรมะตัวสุดท้าย #เห็นร่างกายจิตใจที่เปลี่ยนแปลง #จิตใจตั้งมั่นรู้เนื้อรู้ตัว #บ้านจิตสบาย


การภาวนาต้องใช้เวลาสะสม