อีกเรื่องหนึ่งที่พวกเราจะต้องสู้แน่นอนก็คือ ‘การสู้กับกิเลส’ พวกเราทุกคนมีกิเลสนะ กิเลสจริงมันมีแค่ 3 ตัวเองนะ เเต่ 3 ตัวนี้เอาชนะพวกเราได้ตลอดเวลา ‘ราคะ โทสะ โมหะ’ หลวงพ่อมีหลักให้อยู่แล้วว่า เวลาเกิดกิเลสเกิดขึ้นเรามีหน้าที่ยังไง…
อันที่หนึ่งก็คือ ‘ไม่คล้อยตามมัน’ ไม่คล้อยตามมันออกไปทําผิดศีลทางกาย ทางวาจา อย่างเช่น โกรธขึ้นมาก็ไม่ไปตี ไม่ไปด่าเขา แต่แม่พบอีกอย่างหนึ่งก็คือบางครั้งเราไม่ไปผิดศีลหรอก แต่ว่า ‘ใจเราแช่อยู่กับกิเลส’ อันนี้ก็ถือว่าคล้อยตามเหมือนกันนะ กิเลสพวกตระกูลโมหะ ตระกูลที่มันหดหู่ท้อแท้พวกนี้ มันจะไม่ออกไปตีไปด่าเขา มันจะไม่ออกไปผิดศีลหรอก แต่ว่ามันจะทําร้ายตัวเองด้วยการจมแช่อยู่กับความเศร้าหมอง จมแช่อยู่กับความแบบท้อแท้อ่อนแอ พอแช่อยู่…การแช่อยู่ก็เป็นการคล้อยตาม คือปล่อยให้กิเลสครอบงําใจ…แล้วก็แช่ไปเรื่อยๆ
กิเลสตระกูลพวกนี้ บางทีมันดูยากนิดนึงเดี๋ยวจะค่อยพูดอีกทีหนึ่ง อันหนึ่งไม่คล้อยตามมันนะ ขอไม่ไปผิดศีลทางกาย ทางวาจา หรือว่าไม่คล้อยตามไม่แช่อยู่กับเขา ไม่ต่อต้านมันด้วย อย่างเช่น พอความโกรธเกิดขึ้น เราไม่มีหน้าที่ที่ไปกดข่มหรือไปไล่ความโกรธ ความจริงความโกรธเกิดขึ้น ก็แค่ตามรู้ตามดูเข้าไป มันมีอีกตัวหนึ่งก็คือ ‘ต้นเหตุของกิเลส’ มันมีเหตุปัจจัย คืออันที่หนึ่งต้องมีผัสสะที่มากระทบ อันที่สองเราต้องมีอนุสัยของกิเลสตัวนั้น ถ้าเราไม่มีอนุสัย ผัสสะกระทบมาเหมือนพระอรหันต์ ถ้าไม่มีอนุสัยอะไรผัสสะกระทบมา ใจท่านไม่หวั่นไหวเลย เพราะว่าท่านไม่มีอนุสัย ไม่มีความเห็นผิดอีกแล้ว ฉะนั้นจิตท่านไม่มีความหวั่นไหว ไม่มีการกระเทือน ไม่มีการส่งออก จิตท่านก็จะเสมอด้วยดิน ด้วยน้ำ ด้วยลม ด้วยไฟ เสมอด้วยธาตุ คือมันไม่กระเทือนไม่หวั่นไหว แต่คนธรรมดาทั่วไป ปุถุชน พระอริยะที่ยังไม่พ้น ก็ยังมีกิเลส ยังมีอนุสัยอยู่
มันมีผัสสะเข้ามากระทบ ผัสสะนี้มาได้ 6 ทาง คือ ‘ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ’ ทางใจบางครั้งเกิดจากสัญญาทำงานก่อน ผุดอะไรขึ้นมานิดหนึ่งสัญญาทำงาน สังขารปรุงต่อ…คิดขึ้นมาแล้ว เช่น ผุดหน้าคนนี้ขึ้นมาปุ๊บ…คนนี้เคยทำร้ายเรา ความโกรธก็เกิดขึ้นแล้ว มันคือผัสสะทางใจ แล้วผัสสะทางใจเยอะที่สุด บางครั้งเรื่องเกิดขึ้นตอนเช้าเราโกรธตอนนั้นแล้ว…ตอนบ่ายเรานึกขึ้นมาได้ เราก็โกรธอีก เพราะฉะนั้นผัสสะมันจะมาได้ 6 ทาง ผัสสะกระทบมาที่อนุสัย อนุสัยมันจะปรุงทำงานขึ้นมาเป็นกิเลส สิ่งที่ต่างกันของพวกเราทุกคนก็คือ ทุกคนอนุสัยไม่เท่ากัน สะสมมาไม่เหมือนกัน เพราะทุกคนมีทางเดินในสังสารวัฏที่แตกต่างกัน ฉะนั้นแต่ละคนนะไม่มีใครเหมือนใคร แทนที่กันไม่ได้ กิเลสแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน จุดอ่อนของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
ฉะนั้นเวลามันมีผัสสะกระทบอนุสัยทำงาน…กิเลสเกิดขึ้น หน้าที่ของเราคือไม่คล้อยตามมัน ไม่ต่อต้านมัน ดูมันทำงาน ดังนั้นโทสะเกิดขึ้นตามรู้ไปเลย ร่างกายก็ส่วนหนึ่ง โทสะเป็นอะไรที่ไม่ใช่ร่างกาย มีตัวที่รู้สึกอยู่ ให้แยกขันธ์ออกไปเป็นแต่ละส่วน แล้วดูแต่ละส่วนทำงาน แล้วเราจะพบว่าตัวความโกรธเองนะ เวลาที่มันโกรธขึ้นมันก็ไม่คงที่หรอก มันมีดีกรีมันก็เดี๋ยวมาก…เดี๋ยวน้อยอะไรอย่างนี้ เราเรียนรู้ไป เราจะได้เดินปัญญาไปกับตัวกิเลสตัวนี้ด้วย เพราะว่ากิเลสอยู่ในกองสังขารขันธ์ มันก็ตกอยู่ใต้กฏของไตรลักษณ์เหมือนกัน
ฉะนั้นเราหัดดูไป กิเลสเกิดขึ้นไม่คล้อยตาม ไม่ต่อต้านดูเขาทำงาน อันนี้เราจะทำได้ในกรณีที่จิตเรามีกำลังพอๆ กับกิเลส ซึ่งในชีวิตความเป็นจริง บางครั้งเราก็มีกําลังบางครั้งจิตเราก็ไม่มีกําลัง การที่จิตเรามีกําลังน้อยกว่ากิเลสมันจะสู้ไม่ไหวเอาไม่อยู่…นึกออกใช่ไหม เวลาโกรธมากๆ เอาไม่อยู่นี่นะ ดูยังไงก็ไม่ขาด ดูยังไงก็ไม่ไหวแล้ว อันนี้ท่านก็บอกว่าเรามีแนวรุก แนวรับ อันแรกก็คือไม่คล้อยตาม ไม่ต่อต้าน ดูเขาทํางานใช่ไหม พอมันถึงขั้นที่ว่ามันเริ่มสู้ไม่ไหวแล้ว หลวงพ่อก็ให้แนวรุก แนวรับ อันแรกคือแนวรุก ต่อไปเป็นแนวรับ เพราะว่าแนวรุกมันคือการที่เราเดินปัญญา ทำวิปัสสนา เห็นกิเลสเป็นสังขารขันธ์ เป็นไตรลักษณ์ ดูเขาทํางานได้…อันนี้จะเป็นแนวรุก คือเป็นวิปัสสนาได้
ทีนี้ถ้ากําลังไม่พอ กําลังไม่พอ…ก็อย่าไปดันทุรัง…ถอยนะ ถอยก็คือถอยลงมาเป็นการแก้อาการ หลักของสมถะคืออะไร จิตไม่ดีทําให้ดี ไม่สุขทําให้สุข ไม่สงบทําให้สงบ…ถูกไหม จิตไม่ดีจิตกําลังโกรธ ทําไงให้หายโกรธ มีตั้งเยอะแยะวิธี เช่น เจริญเมตตา พิจารณาความตาย หรือเปลี่ยนอารมณ์ หรืออะไรก็ได้ที่ทําให้จิตเรา ที่มันมีจิตโทสะอยู่มันหายไป เนี่ยมันตกจากวิปัสสนาลงมาเป็นโหมดสมถะละ มันเป็นโหมดสมถะ…เราก็ใช้วิธีนี้ พอมันหายไปเราก็กลับมาภาวนาต่อ คือกิเลส เราไม่ต้องดันทุรัง คือสู้ได้…สู้ สู้ไม่ได้…ถอยก่อน อย่าปล่อยให้กิเลสแช่ไปเรื่อยๆ อย่างบางคนโกรธๆ โกรธไปเรื่อยๆ แล้วก็กดๆ เอาไว้ อันนั้นมันไม่ดี เพราะมันแช่แล้วก็กดมัน ก็จะยิ่งกดมันก็จะยิ่งสะสม เราก็คือเคลียร์อกุศลออกอย่าให้มันแช่นาน เคลียร์ไปเลย
อีกอันหนึ่งคือถ้าไม่ไหวจริงๆ เดินหนีออกไป ก็เป็นทางถอยอันสุดท้าย นี้หลวงพ่อสอนนะ อย่างเช่น สู้ไม่ไหวแล้ว…เดินหนีก่อน เดินเข้าห้องน้ําอะไรอย่างนี้นะ คือเราก็มีวิธีสู้ ที่แม่พูดเรื่องพวกนี้เพราะรู้ว่าเราเป็นฆราวาส จริงๆ มันไม่ต้องฆราวาสหรอกทุกคนนั่นแหละนะ มันก็ต้องใช้ชีวิตประจําวันมันก็ต้องมีการกระทบกระทั่ง ซึ่งเราก็ต้องมีกิเลสที่จะต้องคอยสู้ พวกเราต้องคอยสู้เอา กิเลสนะถ้าเราคล้อยตามเขา ผลก็คืออนุสัยเราได้รับการสนับสนุนได้รับการส่งเสริม ผลก็คือ…ถ้าเช่นเป็นความโกรธนะ เราคล้อยตามเขานะ ผลก็คืออนุสัยเราเพิ่มขึ้น ถ้าเราคล้อยตามบ่อยๆ เราก็จะยิ่งเป็นคนที่ขี้โมโหเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกอันหนึ่งก็คือถ้าเราไม่คล้อยตามเขา…แล้วเราตามรู้ทันไปเรื่อยๆ อย่างเช่นเราดูความโกรธเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เราไม่คล้อยตามเขา ผลก็คือถ้าหากว่าตัวนี้มันสลายไปนะ มันก็คืออนุสัยที่เข้ามาทำงานตัวนี้ขาดทุนไปหนึ่ง
เพราะฉะนั้นต่อไปนี้นะ ถ้าเราเป็นคนขี้โมโห โกรธขึ้นมาปุ๊บ…ดูความโกรธของตัวเอง ไม่ต้องไปยุ่งอย่างอื่น ความโกรธหายไป โกรธใหม่…ดูใหม่ โกรธใหม่…ดูใหม่ไปเรื่อยๆ ผลที่เราได้อย่างก็คืออนุสัย คือความเคยชินทางใจที่จะโกรธของเรานะ มันจะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ ถ้าผ่านวันผ่านเดือนผ่านปีไปนะ เราจะพบเลยว่าเราเปลี่ยนไป…จากคนที่ขี้โมโหกลายเป็นคนที่โมโหน้อยลง หรือไม่ค่อยโมโห พวกนี้มันเกิดจากการฝึกฝนรู้ทันทั้งหมดเลย ไม่ใช่ทำไม่ได้ ไม่ได้ว่าไม่มีเหตุไม่มีผลด้วย มันคือการฝึกเอา สติก็ต้องฝึก จิตที่ตั้งมั่นก็ต้องฝึก ฝึกรู้ทันกิเลสก็ต้องฝึกนะ
ฝึกไปเรื่อยๆ อนุสัยเราบางลง คนที่จะมีความสุขคนแรกก็คือเราเอง กิเลสเราน้อยลง เราก็มีความสุขเพิ่มขึ้น ภาระทางใจเราก็ลดลง กิเลสเยอะความทุกข์เราก็มากนะ ถ้าอยากให้เรามีความสุขเยอะๆ เราต้องสู้เอา อย่าไปตามใจกิเลสต้องฝึกฝนเอา คือถ้าเราต้องสู้มันก็เหมือนกันกับที่ทางพ้นทุกข์ อยากพ้นทุกข์ก็ต้องเดินตอนนี้ อยากกิเลสเบาบางก็ต้องสู้ตอนนี้ ถ้าไม่สู้…ก็มีแต่เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นๆ ยิ่งแก่ตัวกิเลสก็จะยิ่งหนา ก็จะยิ่งสู้ยาก
คุณแม่ชีอรนุช สันตยากร
วัดสวนสันติธรรม จังหวัดชลบุรี
11 ธันวาคม 2565
ณ บ้านจิตสบาย
©มูลนิธิสื่อธรรมหลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ที่มาคลิป: https://youtu.be/zuZHKWvBhbI?si=nixBJKzjvvtW1Zfx
#ต้นเหตุของกิเลส #การสู้กับกิเลส #ไม่คล้อยตามกิเลส #คุณแม่ชีอรนุช #คุณเเม่นุช
#คุณแม่ชีอรนุชสันตยากร #ราคะ #โทสะ #โมหะ #อนุสัย #ใจแช่อยู่กับกิเลส
#ปล่อยให้กิเลสครอบงําใจ #ผัสสะมากระทบ #อนุสัยของกิเลส #สัญญาทำการ
#ผัสสะทางใจ #กิเลสเป็นสังขารขันธ์ #ดูการทำงาน#ตามรู้ทันไปเรื่อยๆ #แยกขันธ์
#เเนวรุกเเนวรับกิเลส #จิตมีกำลัง #จิตตั้งมั่น #ทางพ้นทุกข์ #ฝึกรู้ทันกิเลส #บ้านจิตสบาย