ถ้าเราตั้งเป้าสูงนะภาวนายาก คนที่ภาวนายากคนหนึ่งก็คือพระอาจารย์นี่แหล่ะ สมัยก่อนเจอหลวงพ่อก็อยาก อยากเข้าใจธรรมะ อยากได้โน่นได้นี่ จริงๆ ทุกคนนะเวลาภาวนาอยากมีตาทิพย์ หูทิพย์ อยากเหาะได้ อะไรได้ พอเราอ่านประวัติครูบาอาจารย์อะไรพวกนี้แล้ว ใจมันอยากได้ ใจมันโลภ แต่ในใจลึกๆ ของพระอาจารย์เนี่ยอยากพ้นทุกข์ เรื่องพวกนั้นก็คล้ายๆ เหมือนทุกคนนะมีได้ก็มี แต่จริงๆ มันยากมาก เพราะว่ามันคนละยุคกัน
ยุคของเรานี่เป็นยุคสังคมเมือง จิตใจเราวุ่นวายตลอดเวลา ฟุ้งซ่านตลอดเวลา จริงๆ แค่จะทำสมาธิให้สงบเดี๋ยวนี้ยังทำยากนะ เราไม่ต้องไปสนใจเรื่องฤทธิ์เรื่องเดชหรอก เราภาวนาของเราไปให้พ้นทุกข์ดีกว่า
พอพระอาจารย์เริ่มต้นด้วยความอยาก มันยากเย็นแสนเข็ญเลยนะ กว่าเราจะ ‘มีสติ รู้กาย รู้ใจ ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง’ ยากมาก ตอนนั้นก็คือไปภาวนาสายทางวัดป่า เริ่มต้นก็ไปนั่งสมาธิ เหมือนนักภาวนาทั่วๆ ไป พอเราไปนั่งสมาธิเราไม่รู้เคล็ดลับไม่รู้วิธี แล้วไปนั่งเพ่ง บางทีเราเป็นคนโมหะเยอะ นั่งไปพักหนึ่งใจก็เคลิ้มหลับไป บางทีนั่งไปแล้วก็เครียดๆ อะไรอย่างนี้ เพ่งๆ จ้องๆ ไม่เกิดสมาธิที่ถูกนะ ทำอยู่หลายปีไม่ได้สมาธิ พอเลิกทำใจก็ฟุ้งซ่านเหมือนเดิม เพราะเราเป็นพวกคนเมือง คิดนู่นคิดนี่อะไรของเราไปตลอดเวลา
จนวันหนึ่งนะได้มาเจอธรรมะที่หลวงพ่อท่านเขียน ตอนนั้นท่านเขียนในอินเทอร์เน็ต เป็นกลุ่มใหม่เผยแพร่ธรรมะกันทางอินเทอร์เน็ต ตอนนั้นเพิ่งเกิดอินเทอร์เน็ต พอหลวงพ่อสอน ตอนนั้นพระอาจารย์ยังไม่ได้เล่นอินเทอร์เน็ตหรอก เพราะว่าทำงานไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานทางด้านนี้ แต่เพื่อนเอาธรรมะที่หลวงพ่อเขียนในอินเทอร์เน็ตมาให้อ่าน พอให้อ่านเลยถามเพื่อนว่าอยากเจอพี่คนนี้ จะเจอได้ที่ไหน อยากไปเรียนด้วย ตอนที่ไปเจอหลวงพ่อตั้งแต่ปี 2542 นะ นานมากแล้ว ตอนนั้นพระอาจารย์เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นาน ก็ไปเจอหลวงพ่อ ที่เล่าให้พวกเราฟังบ่อยๆ ตอนไปเจอหลวงพ่อ ไปกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง เพื่อนคนนี้เป็นคนที่ปริ้นธรรมะมาให้เราอ่าน เพื่อนคนนี้ภาวนากับหลวงพ่ออยู่พักใหญ่แล้วล่ะ
ครั้งแรกที่ไปเจอหลวงพ่อ หลวงพ่อตอนนั้นยังไม่ได้บวชนะ หลวงพ่อก็ถามว่า “อ้าวโย ไปพาใครมา ทำไมจิตดีกว่าเราอีก” นี่คือประโยคแรกที่หลวงพ่อทักตอนนั้นนะ ขณะตอนนั้นเรายังไม่ได้ตั้งใจภาวนา ยังไม่รู้เรื่องหรอก หลังจากที่หลวงพ่อบอกว่าจิตดีครั้งแรกแล้วนี่นะ จิตก็ไม่เคยดีอีกเลย เพราะว่าตอนนั้นคล้ายๆ เรามีกรรมเก่าของเรา พอเจอครูบาอาจารย์ปุ๊บนี้นะ จิตมันมีแต่โมหะ เวลาเจอหลวงพ่อ หลวงพ่อแทบไม่เคยสอนเลย ตอนนั้นหลวงพ่อก็สอนกันที่ศาลาลุงชิน สอนกันเป็นกลุ่ม ไปเช้าก็ไปใส่บาตรครูบาอาจารย์ พอใส่บาตรเสร็จก็ฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ ยุคนั้นครูบาอาจารย์มาเทศน์สั้นๆ เสร็จก็ประมาณใกล้ๆ 10 โมง พอผู้คนที่มาทำบุญแยกย้ายกลับ พวกกลุ่มของลูกศิษย์หลวงพ่อก็จะนั่งล้อมวงมาเรียนกัน
ตอนนั้นเป็นกลุ่มเทรนด์ใหม่นะ เรียนธรรมะกัน ก็เรียนเรื่องดูจิตอะไรอย่างนี้ หลวงพ่อก็จะสอน หลักที่หลวงพ่อสอนก็ให้มีสตินั่นแหล่ะ แล้วก็จะสอนให้พวกเราหัดดูสภาวะ อันนี้จำเป็นมากนะ ‘หัดดูสภาวธรรมทั้งหลาย’ ส่วนใหญ่ยุคนั้นเน้นดูจิต จะสอนให้ดูว่า คนนี้เพ่งแล้ว คนนี้ใจหลงไปคิด คนนี้ใจฟุ้งซ่าน คนนี้เพ่งอะไรอย่างนี้ หลวงพ่อก็จะสอนให้พวกเราดูอะไรพวกนี้ แต่ว่าพอถึงพระอาจารย์ หลวงพ่อจะข้ามไป แล้วก็สอนวนไปอย่างนี้ ว่าคนนี้หลงไปคิด คนนี้ใจฟุ้งซ่าน คนนี้ขาดสติ คนนี้เพ่ง พอถึงพระอาจารย์ หลวงพ่อก็ข้ามไปอีก เป็นอย่างนี้ทุกครั้งเลยนะ ไปเรียนอยู่หลายเดือน เรียนไม่เคยรู้เรื่องเลย แต่ว่าระหว่างที่เรียนไม่รู้เรื่องนี่นะ พระอาจารย์ก็เอากลับไปทำนะ ก็ไปฝึกของเรา พุทโธ พุทโธบ้าง อะไรบ้าง
บางทีเราคิดว่าที่หลวงพ่อข้ามหรือว่าอะไรอย่างนี้มันไม่มีผลนะ ไม่มีผลกับตัวเราเอง แต่ว่าพอถึงเวลาจริงสภาวธรรมมันเกิดนี่ เออ…ทำไมมันเกิดได้ อย่างเช่น เวลามันถูกคนมายั่ว โทสะมันพุ่งขึ้นมา มันมีสติเห็นนะ ขนาดตอนนั้นเราว่าเราเรียนไม่ค่อยรู้เรื่องนะ ยังเห็นสภาวะของโทสะขึ้นมาได้ แล้วสติมันระลึกรู้เอง โทสะก็ดับไป แต่ว่ามันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของพระอาจารย์ไม่รู้นะ พอทุกครั้งที่จะไปเรียนกับหลวงพ่อ จิตมันต้องมีโมหะเป็นพื้นเลย จนหลวงพ่ออดไม่ไหว ท่านทักว่า “เป็นหวัดหรือเปล่า กินยาแก้ไข้หรือเปล่า ทำไมมันมีโมหะเยอะ” ผมบอก “ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ” แต่ว่าเราอดทนนะ พยายามทำ จนวันหนึ่งหลวงพ่อทนไม่ไหว ไม่ใช่ลูกศิษย์ทนไม่ไหวนะ หลวงพ่อทนไม่ไหว เลยบอกว่าให้ไปดูร่างกาย คล้ายๆ ดูนามธรรมดูไม่ออก ก็เลยหัดไปดูร่างกาย พระอาจารย์ไม่ได้คิดเยอะนะ หลวงพ่อให้ไปดูร่างกาย กลับไปบ้านนี่นะ ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก ร่างกายหยุดนิ่งรู้สึก ร่างกายกระดุกกระดิกอะไรแบบนี้รู้สึก ยืน เดิน นั่ง นอน รู้สึก เพราะตอนนี้หลวงพ่อบอกให้มาดูร่างกาย พระอาจารย์ก็ตัดเรื่องอื่นหมดเลย มาดูร่างกายเฉยๆ ไม่ได้คิดด้วยว่าจะดูไปทำไม กะว่าหลวงพ่อสั่งให้ไปดูร่างกายก็เลยไปดูร่างกาย
ดูอยู่ 3-4 วันเนี่ย มันเผลอขาดสติ ร่างกายมันเคลื่อนไหวนะ สติมันเกิดเองเลย เลยบอก “อ้อ…รู้แล้วว่าดูร่างกายให้สติเกิดมันเกิดยังไงนะ” ตอนนั้นสติเกิดเนี่ย พอร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก ร่างกายเคลื่อนไหวสติเกิด ไม่ได้เกิดเฉยๆ นะ พอสติเกิดแล้วความรู้สึกอื่นมันก็ตามมาด้วย พอมันขยับรู้สึกตัวได้ต่อเนื่องนี่นะ มันมีปิติเกิดขึ้นมา เลยมีความสุขเกิดขึ้นมา พอมันมีปีติเกิดขึ้น มีความสุขเกิดขึ้น มันเห็นแล้วเราก็มีสติ สติระลึกรู้นะเห็นปิติ เห็นความสุขมันเกิดขึ้นมาได้ พอเรามีสติระลึกรู้นี่นะ พวกความสุขอะไรมันก็เกิด แล้วมันก็หายไป บางทีจิตก็เฉยๆ บางทีจิตก็มีความสุข จากเดิมนะที่มีโมหะเยอะ ดูอะไรไม่ออกเลยนะทางนามธรรม เริ่มไปดูจากร่างกาย ร่างกายเคลื่อนไหวมีสติ จริงๆ พระอาจารย์จะบอกว่าไม่อยากให้เราดูถูกนะ ว่าทำกรรมฐานอะไรมันดีกว่าอะไร จริงๆ ไม่ได้มีนัยยะเลย ถ้าเราเคลื่อนไหวถูก มีสติขึ้นมาก็ใช้ได้ จิตใจเป็นยังไง เรามีสติรู้ทันก็ใช้ได้หมดเลย แล้วก็มีค่าเท่ากันด้วย ไม่ได้ว่าอันไหนดีกว่าอันไหนหรอก
นี่เพราะพระอาจารย์เห็นความสุขได้ เห็นความเฉยๆ ได้ ต่อไปกิเลสมันเกิดมันก็เห็นนะ เริ่มไปเห็นนามธรรมที่เยอะขึ้นๆ เห็นใจที่มีโทสะ เห็นใจที่มีโลภะ บางทีเห็นใจที่มันหลงๆ เห็นใจที่มันเหม่อ เห็นใจที่มันลอย ก็เริ่มเห็นสภาวะไปเยอะขึ้นๆ แล้วพอพระอาจารย์ภาวนาไปอย่างนี้ เห็นสภาวะ ทั้งรูปธรรม ทั้งนามธรรม เราก็ดูของเราไปเรื่อยๆ ตอนนั้นไม่ได้สนใจว่าจะดูแล้วได้อะไรหรอก เราก็สนใจแต่ว่า เคลื่อนไหวแล้วรู้สึกตัวของเราไป นามธรรมอะไรเกิดเราก็มีสติระลึกรู้ไปอย่างนี้ รู้ไปได้ดีเลย ถี่เลย จนใจนี้มีสมาธิ มีความตั้งมั่น เห็นสภาวะได้ทั้งวันเลย
ทีนี้ในกลุ่มกันที่เขาเรียน เขาก็เขียนกันอะไรกัน “โอ้ คนนี้ภาวนาถึงสังขารุเปกขาญาณแล้ว คนนี้ใกล้จะได้ธรรมะแล้ว” อะไรอย่างนี้ พอเราไปอ่านนะแล้วใจเราไม่เป็นกลาง เดิมเราภาวนาของเราไปสบายๆ ใจเป็นกลาง ไม่ได้คาดหวังอะไร ไม่ได้ไปแข่งกับใคร ทีนี้พอเราไปอ่านอย่างนี้ปุ๊บ โอ้…ทำไมเขาภาวนาเก่งจังเลย คล้ายๆ ถ้าพูดภาษาทั่วไป เราก็มี 2 มือ 2 ตีนเหมือนกันอย่างนี้ ทำไมเขาภาวนาเก่งกว่าเรา เราก็เลยลาออกจากงานไปอยู่วัด ทีนี้ตอนลาออกจากงานไปอยู่วัดมันนี่มีความอยาก อยากภาวนานะ พออยากภาวนา ตอนนี้พอเห็นสภาวะอะไร ใจไม่ได้รู้สึกตัวปกติแล้วนะ ใจมันถลำ ไปเพ่ง ไปจ้อง พอถลำไปเพ่งไปจ้อง เราเห็นสภาวะชัด ตอนนั้นไม่ได้เจอหลวงพ่อแล้ว เพราะออกไปอยู่ที่วัดที่ต่างจังหวัด ใจมันไปเพ่งไปจ้องสภาวะอย่างนี้ คือแทนที่จะรู้สึกตัวไปธรรมดาๆ นะ ให้มันเกิดสัมมาสติ สัมมาสมาธิ อีกหน่อยเดียวมันก็จะพัฒนาไปเรื่องเดินปัญญา แล้วมันจะค่อยๆ เข้าใจความจริง
ปรากฏว่าพอเราอยากจะเร่งภาวนา ใจมันมีโลภะเยอะ เวลามันอยากเห็นสภาวะให้ชัดๆ เห็นบ่อยๆ เห็นได้ทั้งวัน ปรากฏว่าใจมันเลยถลำไปเพ่ง พอถลำไปเพ่ง แล้วเราไม่มีครูบาอาจารย์บอกล่ะ ทีนี้เราก็คิดว่าไอ้สภาวะที่ไปดูนี้มันถูก เพราะมันเห็นชัด เห็นได้ทั้งวัน ปรากฏว่าไปเพ่งจ้องอยู่ทั้งวัน ทำอยู่เป็นปีเลย จนชำนาญเลย แต่ก่อนนี้นะทำสมาธิรู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก แต่พอเราไปเพ่งไปจ้องดูสภาวะบ่อยๆ นี่นะ มันติด มันติดสภาวะนะ จะยืน จะเดิน จะนั่ง นอน ทีนี้เห็นแต่ไอ้สภาวะที่ไปเพ่งไว้อยู่อย่างนั้นนะ เห็นได้ทั้งวันเลย อยากจะดูเมื่อไหร่ก็ดูได้
ทีนี้พอตอนเราเพ่งจนชำนาญ มันมีความจงใจเยอะ จิตไม่สงบ แต่ว่าพอเราคลายความจงใจนะ อย่างเช่น ตอนที่เราจะนอนหรืออะไรอย่างนี้ พอเราคลายความจงใจปุ๊บ จิตรวมเลย จิตรวมสงบเข้ามา เราก็ยังคิดว่า เออ อันนี้เป็นทางที่ถูกนะ แต่จริงๆ นี่ไม่ถูกแล้ว มันไม่ถูกตั้งแต่เราเริ่มมีความอยาก พอเรามีความอยาก ใจเรามีโลภะเยอะ ใจมันถลำไปเพ่งไปจ้อง อยากเห็นสภาวะบ่อยๆ อยากเห็นชัดๆ พออยากเห็นบ่อยๆ เห็นชัดๆ ใจก็เลยไปแปะอยู่กับอารมณ์กรรมฐานที่เราทำ พอแปะไปเรื่อยๆ มันคือการทำสมาธิแบบอารัมมณูปนิชฌาน แต่ว่าถ้าเพ่งแบบแรงๆ ไม่ดีนะ อันนั้นคือสมาธิจะไม่ได้ แต่อันนี้พระอาจารย์ดูแบบสบายๆ หน่อย จิตก็เลยเป็นสมาธิ พอเราคลายความจงใจ จิตมันรวมสงบได้เลย
แล้วที่บอกพวกเรานะว่า อย่างน้องเขาเริ่มต้นไม่ได้คาดหวังอะไร เขาทำของเขาไปแบบสบายๆ แต่พอพระอาจารย์มีความอยากภาวนา อยากเร่งความเพียร ที่เมื่อก่อนหลวงพ่อจะมีคำหนึ่งนะ ‘ถ้าเร่งความเพียรก็คือเร่งความเพี้ยน’ ไม่ใช่เร่งความเพียรนะ เร่งความเพี้ยน เพราะทันทีที่เราทำไปด้วยความอยาก จิตจะไม่เป็นกลางแล้ว นี่พอจิตไม่เป็นกลาง ใจมันก็ไปเพ่ง ไปจ้อง แต่ไอ้สภาวะที่ดู ดูบ่อยๆ จิตรวมบ่อยๆ ยังเข้าใจผิดนะว่าการภาวนาก้าวหน้า
พอดีเพื่อนไปบอกว่า ไปหาหลวงพ่อหน่อย ไม่ได้เจอนานแล้ว ก็หลายเดือนนะไม่ได้เจอ พอไปเจอปุ๊บ เพื่อนตามให้ไปเจอหลวงพ่อ หลวงพ่อเห็นหน้าหลวงพ่อตกใจ “เฮ้ย อ๊าไปทำอะไรมา ทำไมจิตเป็นแบบนี้” เรายิ่งตกใจหนักมากขึ้นไปอีก เรานึกว่าที่เราเห็นสภาวะชัดนี้ ดีแล้วใช่ไหม เห็นจนจิตรวมได้ มีสมาธิได้ อะไรอย่างนี้ นึกว่า โอ้ย ภาวนาก้าวหน้า หลวงพ่อบอกไอ้ที่ทำอยู่ผิดหมดเลย ที่ทำอยู่นี่คือจิตไม่เป็นกลาง จิตไม่มีสัมมาสมาธิ ไม่เป็นกลาง ฉะนั้นที่เสียเวลาทำไปตั้งนาน กลายเป็นว่าหลงไปทำสมถะ ไปเพ่ง ไปจ้องอารมณ์ไว้ นี่ผิดหมดเลย
หลวงพ่อลองชี้ให้ดูกิ่งไม้ หลวงพ่อบอก “อ่ะ…ดูกิ่งไม้ซิ” พอดูปุ๊บ จิตเราไปแปะอยู่ที่กิ่งไม้นะ หลวงพ่อบอก “เห็นมั้ย จิตอยู่ที่กิ่งไม้” ตอนนั้นพระอาจารย์ไม่เห็นนะ เพราะว่ามันหลงชำนาญ จิตมันไหลไปชำนาญ แต่จริงๆ พวกเราไม่ต้องตกใจนะ เรื่องจิตส่งออกนอกนี้เป็นเรื่องปกติของคนทั่วๆ ไป อย่างเวลาเราดู ใจมันก็จะไหลไปดู เวลาฟัง จิตมันก็ไหลไปฟัง ไหลไปทางหู ไหลไปทางตา ส่วนมากจะไหลไปทางความคิด ไหลไปคิด แต่ตอนนั้นพอหลวงพ่อชี้ให้ดู พระอาจารย์ยังมองไม่เห็น เพราะมันชำนาญมากเกินไป
หลวงพ่อบอก “ไอ้ที่ทำอยู่ผิด” เราฟังแล้ว โอ้โห ท้อแท้ใจมากเลยนะ เพราะคล้ายๆ เราตั้งเป้าภาวนา อยากให้เข้าใจธรรมะเร็วๆ กลายเป็นว่าจากเดิมพื้นฐานที่เคยฝึกสติจนสำเร็จแล้วนะ ฝึกสติจนต่อเนื่องได้เเล้วนะ ใจมีปิติ ใจมีความสุข เริ่มมีสมาธิที่ถูกต้อง เริ่มมีสัมมาสมาธิ เริ่มเห็นสภาวะเกิดดับได้ เริ่มเดินปัญญาแล้ว แต่ทันทีที่เราเปลี่ยนเป้าของเราเองนะ ไปอยากเร่งภาวนา กลายเป็นว่าเร่งความเพี้ยนนะ
จากจิตที่เคยมีสัมมาสมาธิ ไม่มีแล้ว กลายไปเป็นสมาธิแบบเพ่งจ้อง อย่างมากที่ทำได้ก็คือเป็นอารัมมณูปนิชฌาน แต่ว่าที่นี้ผลของการที่ไปเพ่งจ้องอารมณ์ออกนอกจนชำนาญ จะพัฒนาให้กลับมาตั้งมั่นเป็นเรื่องที่ยากมาก ฉะนั้นเวลาหลวงพ่อสอนพวกเราบ่อยๆ ท่านจะบอกเลยว่า คนทั่วไปภาวนาง่าย ถ้าไม่เคยเรียนกรรมฐานนะ หัดให้ดูสภาวะแป๊บเดียวมันก็จะรู้สภาวะแล้ว แต่ว่าคนที่เคยภาวนา ส่วนใหญ่มันจะไปติดเพ่ง ติดจ้อง หลงเพ่งจ้องอยู่อย่างนี้ มีนักปฏิบัติบางคน อย่างเขากำหนดอะไรอย่างนี้ เพ่งจ้อง เขากำหนดของเขาจนชำนาญ ในของเขา เขาก็ว่ามีสติของเขาละนะ แต่มันไม่ใช่สัมมาสติ มันเป็นสติแบบเพ่งจ้องอารมณ์
พระอาจารย์สมชาย กิตฺติญาโณ (พระอาจารย์อ๊า)
วัดสวนสันติธรรม จังหวัดชลบุรี
14 มกราคม 2567
ณ บ้านจิตสบาย
©️ มูลนิธิสื่อธรรมหลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ที่มาคลิปเต็ม: https://youtu.be/5PtYJW5el6g?si=hw5qRYj6WW3l_pQZ
#อยากภาวนา #อยากปฏิบัติ #สติระลึกรู้ #หัดดูสภาวธรรม #พระอาจารย์อ๊า #พระอาจารย์สมชาย #พระอาจารย์สมชายกิตฺติญาโณ #ดูจิต #จิตที่ตั้งมั่น #รู้สึกตัว #เป็นกลาง #นามธรรม #สัมมาสติ #สัมมาสมาธิ #ปิติ #ความสงบ #การเดินปัญญา #สมถะ #สมาธิ #สติ #ธรรมะ #ภาวนา #สภาวะธรรม #โลภะ #เพ่ง #อารมณ์กรรมฐาน #ถลำไปเพ่งไปจ้อง #จิตส่งออกนอก #สมาธิแบบเพ่งจ้อง #อารัมมณูปนิชฌาน #บ้านจิตสบาย