คุณแม่ชีอรนุช สันตยากร

รู้ทันความปรุงเเต่ง จนจิตเป็นอิสระ

วันที่ 10 มีนาคม 2567  

เรื่องความปรุงแต่งสำคัญมากนะ มันเยอะมากเลย แล้วก็ถ้าเรารู้ทันได้ จิตเราจะเป็นอิสระเกิดขึ้น พอรู้ทันปุ๊บ สภาวะเนี่ย สติเกิดจากการที่จิตจำสภาวะได้แม่นยำ ถูกไหม ถ้าหากว่าเราหัดรู้จากสภาวะต่างๆ ทุกความปรุงแต่งมันมีลักษณะเฉพาะตัวของมัน ใช่ไหม อย่างความซึมก็เป็นตัวหนึ่ง ความเรียบร้อยเป็นนักปฏิบัติก็เป็นอีกตัวหนึ่ง ความจงใจ ความตั้งใจ เห็นไหม ทุกตัวมันจะมีลักษณะเฉพาะของมันอยู่ ถ้าเราหัดรู้จักมัน ต่อไปพอมันปรุงขึ้นมาปุ๊บ เราจำได้ สติจะเกิดเอง แล้วพอเราจำได้ จิตมันจะหลุดออกมาจากสภาวะความปรุงแต่ง จิตก็จะเป็นอิสระ เป็นใจที่ตั้งมั่นขึ้นมานะ พวกเราภาวนามานานหัดดูเรื่องพวกนี้ เพราะว่าต่อไปเรารู้ตัวนี้ จิตเราจะได้ไม่หลงไปแช่อยู่กับความปรุงแต่งต่างๆ จิตมันจะเป็นอิสระ มีใจที่ตั้งมั่น เห็นกาย เห็นใจแสดงไตรลักษณ์ต่อไป หัดดูตัวนี้นะ ต่อไปจิตใจของพวกเราก็จะตื่นขึ้นมากขึ้น เป็นอิสระขึ้น เพราะตัวที่ย้อมพวกเราอยู่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกนี้ ที่เราจะรู้ไม่ทัน 

อารมณ์พวกความปรุงแต่งอีกประเภทหนึ่ง คือเป็นพวก ‘โมหะ’ เช่น ง่วงนอน ง่วง ซึม เบื่อ ขี้เกียจ ห่อเหี่ยว ท้อแท้ อารมณ์พวกนี้จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ ‘จิต’ สักตัวเดียวเลย มันเป็นความปรุงแต่งชนิดหนึ่ง เพียงแต่ว่ามันไม่ได้แรง พอมันไม่ได้แรง เราไม่ได้รู้ทันนะ ส่วนใหญ่พวกเราจะจมแช่กับมัน หรืออีกอันหนึ่งอย่างเช่น เป็นคนที่มี ‘โทสะ’ คนที่เจ้าโทสะเนี่ยพื้นฐานจะกรุ่นๆ ด้วยโทสะยืนพื้นไปเรื่อยๆ คือเป็นคนเครียดบ้าง เป็นคนที่มีโทสะเจืออยู่ตลอดเวลาบ้าง มันจะยืนพื้นไป พวกนี้มันก็เป็นความปรุงแต่งละเอียดที่ถ้าหากเรารู้ทัน ต่อไปจิตใจเราพอรู้ทันก็จะหลุดออกจากความปรุงแต่ง มันก็จะเป็นอิสระขึ้นมา อย่างคนที่เป็นคนขี้โมโหจะมีกรุ่นๆ อยู่เรื่อยๆ มันจะมีโทสะยืนพื้นไป พอเวลากระทบผัสสะปุ๊บ มันจะปี๊ดได้ง่ายเลย นึกออกเลยใช่ไหมคนขี้โมโห มันจะยืนพื้นอยู่แล้ว พอมันมีนิดนึงก็ปี๊ดๆ แต่เราหัดรู้ทันไป ต่อไปความปรุงแต่งละเอียดมันก็ย้อมใจเราไม่ได้ แล้วก็ใจเรามันจะค่อยๆ โปร่งขึ้น เป็นอิสระขึ้น 

เพราะฉะนั้นหัดดูความปรุงแต่งไว้ ตัวนี้เป็นตัวที่หลอกเราได้เยอะมาก คนในโลกเดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ ล้วนแต่จมแช่อยู่กับความปรุงแต่งทั้งหมดเลย ถ้าดูๆ ไปแล้วนะ เหมือนพวกเราถูกหลอก ชีวิตยืนยาวอย่างมากแค่ 100 ปี กระทบผัสสะเดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็สุข ถ้าเราเห็นว่าจริงๆ อารมณ์พวกนี้มันเป็นความปรุงแต่งที่มันชั่วคราวทั้งหมด หัดรู้ทันมันอยู่แยกจากอารมณ์ไป มันก็แค่ชีวิตที่ดำเนินไป มันก็แค่การทำหน้าที่ ทุกคนก็คือชีวิตมันก็ร่วงไปๆ อายุเยอะขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่สะสมไปมันก็มีแต่กรรมดีกับกรรมชั่ว

สิ่งที่จะนำเราไปเกิดก็อยู่กับกรรมดีกรรมชั่วพวกนี้เท่านั้นเอง แต่คนในโลกไม่รู้ มันมีความทุกข์ขึ้นมา มีความอยากขึ้นมา เขาก็ดิ้นรนแย่งชิง ปัญหาก็คือมันไม่ได้แย่งชิงกันด้วยความยุติธรรมนะ ใช้กำลัง ใช้อำนาจ ใช้สิ่งที่ไม่ถูกต้องในการแย่งชิง เกิดการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ซึ่งที่จริงแล้วก็คือ เขาก็ทำกรรมชั่วต่อไปเรื่อยๆ สังสารวัฏมันน่ากลัวตรงนี้ ขณะที่เราไม่เคยฟังธรรม ไม่เคยเข้าใจในเรื่องของกรรม มนุษย์ก็จะดิ้นรนเพื่อจะหาความสุข หนีความทุกข์ แย่งชิงไป ไม่เชื่อเรื่องผลของกรรม ถึงวันหนึ่งก็เวียนไปตกต่ำลงไป สังสารวัฏมันน่ากลัวตรงนี้ ตรงที่ว่าถ้าเราลืมไป สมมุติว่าชาตินี้เราภาวนา แล้วถ้าเรายังไม่ได้มรรคผล แล้วถ้าเรายังเกิดอีกนาน เราลืมไปเลยว่าเราต้องรักษาศีล ช่วงไหนที่เป็นช่วงที่ไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีธรรมะ ไม่มีศาสนา  มันเหมือนช่วงยุคมืด ทุกคนพร้อมที่จะคล้อยตามที่จะไปทำชั่ว เพราะก็คิดว่าทำชั่วก็ไม่มีอะไร หรือการที่เชื่อว่า เกิดชาติเดียวแล้วก็ตายไป เป็นมิจฉาทิฐิที่แบบว่าจะทำชั่วอะไรก็ได้ อยากได้อะไรก็ได้ ตรงนี้มันทำให้เราหลงผิดได้ง่าย หลงผิดได้ง่ายยาวเลย เวลาตกต่ำลงแล้วกว่าจะเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์ มันต้องใช้เวลาสะสมบุญกุศลอีกนาน ฉะนั้นสังสารวัฏมันน่ากลัวตรงนี้ 

แต่ว่าพวกเราไม่ต้องห่วง คือถ้าเราสนใจปฏิบัติ ปฏิบัติด้วยความสม่ำเสมอจนถึงตอนนี้ ก็คิดว่าพวกเราสะสมบารมีมาพอควร คงไม่ถึงกับขนาดหลงลงไปขนาดนั้น ก็เพียงแต่ว่าให้ตั้งใจทำไปนะคะ  สิ่งที่พวกเราพากเพียรไป มันคือการทำกรรมตัวหนึ่ง กรรมทุกตัวทำแล้วมีผลแน่นอน ฉะนั้นอย่าเพิ่งท้อแท้ใจ บางคนภาวนาไปช่วงหนึ่งแล้วก็รู้สึกภาวนาดี เสร็จแล้วก็รู้สึกว่า เอ๊ะ…ทำไมยังไม่เข้าใจธรรมะสักที  ต้องรู้นะงานกรรมฐานเป็นงานระยะยาว ยาวพอสมควร ยาวตรงไหน ยาวตรงที่ว่า เราเกิดตายมานับภพนับชาติไม่ถ้วน เราสะสมความเห็นผิดมาเยอะมาก กว่าจิตจะเห็นความจริงของกายใจนี้ จนเขาพอ จนเขาสรุปความรู้ได้ต้องใช้เวลา 

แม่ก็จะบอกว่า อย่างแม่รู้จักหลวงพ่อมาตั้งแต่ปี 2536 นะคะ ตอนที่กว่าจะเข้าใจธรรมะขึ้นมาได้คือปี 2551 ใช้เวลา 15 ปีนะคะ 15 ปี จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้ภาวนาเต็มที่หรอก เพราะว่าตั้งแต่รู้จัก เราทำงานทางโลกมันก็ไม่ค่อยมีเวลา นี่พูดจริงๆ ก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็สม่ำเสมอนะคือภาวนาทุกวัน เดินจงกรม นั่งสมาธิคือทำทุกวัน แต่ว่าเราก็ไม่ได้ผล แล้วเราก็รู้สึกว่ามันยากมากเลย แต่ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่เราสะสมมามันไม่ได้สูญเปล่าหรอก เวลาที่เราคาดหวังมรรคผล มรรคผลมันจะไม่เกิดหรอก มันจะมาเกิดตอนที่เราไม่ได้เจตนา เรามีหน้าที่เรียนรู้ เห็นกายใจเป็นไตรลักษณ์ไปเรื่อยๆ สะสมไปนะ 

ที่แม่ยกตัวอย่างให้เห็น จะได้ให้พวกเราไม่ต้องท้อแท้ใจ บางทีงานกรรมฐานมันก็ใช้เวลาเป็นกัน 10 ปี 20 ปี หรือบางทีก็ทั้งชีวิต มันขึ้นกับว่าเราเห็นกายใจของเราเป็นไตรลักษณ์มากพอไหม  ตรงนี้คือพูดจริงๆ นะ ง่ายๆ คือกว่าจะสรุปง่ายอย่างนี้  สมัยก่อนแม่ก็รู้สึกว่ามันยากจริงๆ แต่ว่าพอมาถึงจุดตรงนี้ เราก็จะพบว่ามันแค่การทำกรรมฐานด้วยใจธรรมดาๆ นี่แหล่ะ แล้วตามเห็นความเปลี่ยนแปลงในกาย ในใจ ทุกครั้งที่เราเห็นความเปลี่ยนแปลง มันคือการเก็บข้อมูล หน้าที่ของเราที่จริงคือการเก็บข้อมูลเท่านั้นเอง เราเห็นกายใจนี้ทำงาน  มันจะเห็นทีละขณะๆ ข้อมูลทีละขณะใจมันจะเป็นคนเก็บข้อมูล เห็นตัวนี้เกิดขึ้น ตัวนี้หายไปแล้วไม่ทันดู มีตัวใหม่เกิดขึ้น อันนี้ไม่ต้องซีเรียส คือเราเห็นอะไรเราก็รู้อย่างที่เราเห็นก็พอ มันจะเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ ข้อมูลที่มารวบรวมอยู่ในใจ ถึงวันหนึ่งที่มันพอ มันสรุปความรู้ มันจะตัดสินออกมาเองว่า ‘เราไม่มี’ 

จริงๆ แล้วตอนที่แม่ฟังธรรมตอนนั้น คือเราก็ภาวนาปกติ แต่ว่าวันนั้นมีคนถามว่า “จริงๆ แล้วเราไม่มีเหรอ?” หลวงพ่อบอก “ใช่ จริงๆ เราไม่มีหรอกนะ” เหมือนมันกระแทกใจขึ้นมา  คือธรรมะมันไม่แน่ไม่นอนหรอก หลวงพ่อพูดอย่างนี้ทุกวันเหมือนกัน แต่เราไม่เคยเข้าใจนะ หมายถึงว่าถ้าถึงเวลาของเราธรรมะมันจะมากระแทกใจเอง รู้สึกเออ…เราไม่มี คำว่า ‘เราไม่มี’ เราฟังมานานแล้วใช่ไหม แต่ที่จริงมันไม่ได้เข้าไปในใจของเรา มันเหมือนเราเข้าใจ แต่มันเข้าไปในสมอง แต่ใจไม่ได้เข้านะ ถึงวันหนึ่งมันจะเข้าใจจริงๆ ซึ่งตรงนี้พวกเราต้องสะสมความเข้าใจไปเรื่อยๆ ดูเขาไปเถอะ สิ่งที่เราเรียนรู้นะ ทำกรรมฐานสบายๆ เราอ่านตัวเองไปเรื่อยๆ งานมีแค่นี้จริงๆ

นี่เกิดจากการสรุป 15 ปีที่แม่ทำตอนนั้น  คือแต่ก่อนแม่ก็ยังไม่ได้เข้าใจว่าการปฏิบัติมันเป็นอย่างไรที่ชัดเจนขนาดนี้ มันก็ให้ความเข้าใจเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หันมามองจริงๆ มันไม่มีอะไร ในการเรียนรู้ตัวเองเห็นความเปลี่ยนแปลงในกายในใจ มันจะสะสมความเข้าใจไปเรื่อยๆ วันหนึ่งที่มันสะสมพอ มันอิ่มตัวของมันนะ มันจะสรุปเองเลย ซึ่งเวลาตรงนี้มันไม่มีใครบอกได้ คือเราไม่ใช่พระพุทธเจ้าใช่ไหม ที่มาบอกว่าใครจะบรรลุได้เมื่อไหร่ แต่ว่าสิ่งที่เราทำไม่สูญเปล่าแน่นอน ยังไงมันก็มีผลนะคะ ยังไงก็มีผล ก็บอกพวกเราว่า “หน้าที่ของเราคือสม่ำเสมอ แล้วก็ทำใจธรรมดาที่สุด ทั้งสมถะและวิปัสสนาเริ่มด้วยใจคนธรรมดา”

แม่จะขอสารภาพว่า ข้อสรุปนี้แม่เพิ่งพบมา แม่ว่าไม่เกินครึ่งปีนี้เอง ภาวนามาตั้งนานเพิ่งจะสรุปจริงๆ แล้วก็คือ ‘ไม่ทำอะไร’ ใจที่เราภาวนา ใช้ใจคนธรรมดาที่สุดเลย ทำวิปัสสนาดูกายดูใจ ทำกรรมฐานตัวหนึ่ง เห็นกายใจทำงานไปเรื่อยๆ เห็นเท่าที่เห็นได้ มันจะเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปโลภเห็นเยอะเห็นอะไรหรอก แต่เราสม่ำเสมอในการที่เรียนรู้ตัวเอง การทำสมถะก็เหมือนกัน ทำด้วยใจธรรมดา อยู่กับกรรมฐานสบายๆ ไป จิตเขาจะได้พัก ได้เริ่มสงบลงเอง หรือถ้าเขาจะรวม เขาก็จะรวมเอง

กว่าจะได้ข้อสรุปนี้แม่ภาวนามาตั้งนานนะ ตั้งแต่ปี 2536 จนถึงปีที่แล้ว 30 ปี ถึงจะสรุปได้ว่าที่จริง ‘ใช้ใจคนธรรมดา’ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลวงพ่อสอนมาตลอดเลย แต่ว่าพวกเราไม่เข้าใจ  ช่วงนี้แม่จะพูดเยอะมากเลย เรื่องที่ว่า “อย่าทำอะไร ให้เป็นคนธรรมดา” มันทำอะไรแล้วเรารู้ทัน อย่างเมื่อกี้เจอเขามารายงาน ตอนที่มารายงานนะทำเสียงหล่อมาเลย แม่ก็เลยบอกว่ามันฟอร์มไหม ฟอร์มอ่ะมันคือความปรุงแต่งแล้ว แต่พวกเรารู้ไม่ทัน อย่างเช่น เวลาเราไปเจอผู้ใหญ่เราทำตัวเรียบร้อย เรารู้สึกว่าเราสมควรทำใช่ไหม แต่เราไม่รู้ว่าเรากำลังปรุงแต่งอยู่นะ ถ้าเรารู้ทันอันนี้ใช้ได้ เหมือนสมัยก่อนเมื่อสัก 10 ปีที่แล้ว หลวงพ่อสอนเรื่องหมูกระดาษจำได้ไหม หมูกระดาษคือความปรุงแต่ง คนทั่วไปมันจะปรุงแต่งตัวเองตั้งแต่เล็กจนโตเลย มันจะฟอร์มตัวเอง ฟอร์มไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพอโตเป็นผู้ใหญ่มันจะมั่นคงแล้ว ฉันคือคนชนิดนี้ มีบุคลิกภาพอย่างนี้ มีนิสัยใจคออย่างนี้ มีลักษณะท่าทางอย่างนี้ สิ่งเหล่านี้เกิดจากการฟอร์มมาเรื่อยๆ มันคือความปรุงแต่งที่มันปะไปเป็นชั้นๆ เหมือนเปเปอร์มาเช่ เหมือนหมูกระดาษ จริงๆ แล้วก็คือข้างในมันกลวง แต่เราปะๆ จนกระทั่งเอาไปเป็นตัวตนของหมู เหมือนกับผู้ใหญ่ที่โตเต็มที่แล้วมีความเฟิร์มเต็มที่ มีลักษณะที่เป็นเฉพาะตัว นั่นคือสิ่งที่เขาปะๆ ตัวเองมา ตอนเด็กๆ เขาก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันพอกความปรุงแต่งด้วยความเคยชินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สะสมเป็นความเคยชินไป สิ่งเหล่านี้ถ้าเราหัดรู้ทันนะ เราจะเห็นว่าที่จริงความปรุงแต่งอยู่ในกองสังขารขันธ์ใช่ไหม มันไม่ใช่จิต มันไม่ใช่ร่างกาย 

ถ้าเราหัดรู้ทันไปนะ จิตที่รู้ทันความปรุงแต่ง มันรู้ทันปุ๊บ มันจะตื่นขึ้นมา มันจะหลุดจากความปรุงแต่ง จิตจะเป็นอิสระขึ้นมา ก็จะเห็นความปรุงแต่งเกิดขึ้น ความปรุงแต่งเองก็ไม่คงที่ เดี๋ยวมันก็หายไป เดี๋ยวด้วยความเคยชินมันก็จะปรุงขึ้นมาใหม่ ถ้าเราหัดรู้ทันบ่อยๆ จะดูแค่ว่าเดี๋ยวปรุง  เดี๋ยวไม่ปรุงแค่นี้ก็พอ แล้วจะเห็นเลยว่า ความปรุงมันปรุงของมันเอง เราไม่ได้สั่ง ความปรุงตัวนี้จะเกิดขึ้น หรือเราจะสั่งให้มันหายไปไม่ได้ มันแสดงความเป็นไตรลักษณ์ให้เราเห็นตลอดเวลาอยู่แล้วนะ

คุณแม่ชีอรนุช สันตยากร
วัดสวนสันติธรรม จังหวัดชลบุรี
10 มีนาคม 2567
ณ บ้านจิตสบาย

©มูลนิธิสื่อธรรมหลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช

ที่มาคลิปเต็ม: https://youtu.be/YlMpNG0nUu8?si=1XrYRn5Iy1tsSg-r

#รู้ทันความปรุงเเต่ง #สังขารขันธ์ #ความปรุงแต่ง #คุณแม่ชีอรนุช #คุณเเม่นุช #คุณแม่ชีอรนุชสันตยากร #สภาวะ #จิตจำสภาวะได้ #สมถะและวิปัสสนาเริ่มด้วยใจคนธรรมดา #สติ #จิตตั้งมั่น #โมหะ #โทสะ #จิตเป็นอิสระ #วิปัสสนา #สมถะ #ไตรลักษณ์ #การเจริญสติ #การภาวนา #กรรมดี #ชีวิตในสังสารวัฏ #กรรมฐาน #มรรคผล #การปฏิบัติธรรม #สังสารวัฏ #บ้านจิตสบาย


รู้ทันความปรุงเเต่ง จนจิตเป็นอิสระ