งานกรรมฐานเป็นงานระยะยาว เพราะฉะนั้นพวกเราทำได้อย่างเดียวนะ ก็คือ ‘อดทน’ แล้วก็ ‘สม่ำเสมอ’ เรียกว่าทำกัน 10 ปี 20 ปี หรือทำกันทั้งชีวิตเลยนะ แต่ว่าเราอาจจะไม่ได้ สมมุติเราไม่ได้มรรคผลแต่ในระหว่างทางที่เราทำ เราจะเห็นได้เองว่าตัวของเรามีพัฒนาการหรือเปล่า แต่ละคนต้องสะสมเอา จริงๆ หลวงพ่อก็พูดอยู่บ่อยๆ บางคนที่เขาเข้าใจธรรมะ เขาก็ต้องเคยสะสมเคยพากเพียรของเขามา ทุกคนเนี่ยไม่ได้ได้มาด้วยความสบายๆ ทุกคนแหละ ทุกคนต้องพากเพียรมา แต่ทีนี้เขาอาจจะทำมาก่อนเรา อาจจะทำมาแต่ชาติก่อนๆ อะไรอย่างนี้นะ ของเรานี่นะ เราไม่รู้ว่าเราสะสมปัญญาสะสมบารมีมามากแค่ไหน เพราะฉะนั้นก็มีหน้าที่อย่างเดียวก็คือ สะสมต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะ ‘พ้นทุกข์’
จริงๆ แล้ววันนี้ที่แม่จะเน้น คือเรื่องของ ‘สัมมาสมาธิ’ จำเป็นมากนะ อย่างถ้าใจไม่ตั้งมั่น หรือแค่รู้ๆ อยู่ ใจไม่เข้าบ้าน มันเดินปัญญาไม่ได้จริง ฉะนั้นการทำในรูปแบบ การคอยมีกรรมฐานไว้ในระหว่างวันจำเป็น แล้วก็ตัวกรรมฐานที่เห็นอยู่บ่อยๆ แม่แยกได้ 2 ตัวหลักๆ เลย
อันหนึ่ง (1) คือ ‘การใช้คำบริกรรม’ อีกอันหนึ่ง (2) ก็คือ ‘การใช้กายเป็นฐาน’
ส่วนใหญ่แล้วมันจะไม่หนี 2 ตัวนี้ คืออย่างคำบริกรรมก็มีหลากหลายแล้วแต่คนชอบ กายมันก็มีตั้งแต่เห็นร่างกายหายใจ เห็นร่างกายเคลื่อนไหว เห็นอิริยาบทต่างๆ
แม่ก็เห็นอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ถ้าคนที่ใช้กายเป็นฐานได้ ก็จะมีภาษีกว่าคนที่ใช้คำบริกรรม เพราะว่าพวกเราเป็นประชาชน ส่วนใหญ่เราต้องทำงานกันเกือบทั้งนั้น ทำงานก็ต้องใช้ความคิด ขณะที่ใช้ความคิดมันบริกรรมไม่ได้ แต่ว่ามันสามารถรู้สึกกายได้นะ ถ้าหากว่าช่วงไหนเราทำงานที่ใช้ความคิด เราก็คอยนึกถึงร่างกายเราอยู่เนืองๆ นะ นึกถึงร่างกาย ทีนี้โดยทฤษฎีอ่ะมันใช่ แต่เวลาพวกเรารู้สึกร่างกายไม่ผิดก็ถูกมี 2 อย่างนะ เราเริ่มเลย…เวลาที่เรารู้สึกร่างกายนะ เราเริ่มตอนนี้เลยก็ได้ สังเกตไหม…ร่างกายเรานั่งอยู่ เรานึกออกไหม…ว่าร่างกายเรานั่งอยู่ เรารู้ได้อยู่แล้วทุกคน เวลาที่เรารู้สึกว่าร่างกายเรานั่งอยู่ มันจะรู้สึกได้อยู่แล้วโดยที่เราไม่ต้องตั้งใจดู ‘มันแค่รู้สึก’ การรู้สึกร่างกายนี่นะมันจะไม่ต้องรู้สึกให้ชัดนะ มันแค่รู้สึกว่าตัวนี้นั่งอยู่ ตัวนี้ยืน ตัวนี้กระพริบตานะ มันไม่ต้องชัด ถ้าพยายามรู้สึกชัด หรือพยายามรู้ให้ต่อเนื่องมันจะเพ่งทันทีเลย อันนี้ไปฝึกเอา ค่อยๆ ฝึก
อย่างการทำกรรมฐาน ทุกคนมันไม่ได้ชำนาญมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว คนที่ชำนาญมาเพราะเขาก็เคยฝึกมา ฝึกไปเรื่อยๆ แบบอย่างที่เห็นการฝึกในการรู้กายที่เห็นชัดที่สุดนะ คือพระอาจารย์อ๊า คือท่านจะฝึกของท่าน รู้สึกกายมาตั้งแต่แรกเลย ฉะนั้นเดี๋ยวนี้พอท่านรู้สึกมานานๆ มันก็เป็นธรรมชาติมันมีความชำนาญ มันรู้ได้ง่าย ที่จะบอกก็คือมันไม่มีใครที่จะอยู่กับกรรมฐานด้วยใจที่เป็นธรรมชาติมาตั้งแต่แรก แต่ละคนก็ต้องฝึกฝนเอาทั้งนั้น
ดังนั้นเราเลือกกรรมฐานที่เราชอบ แล้วเราก็ใช้ตัวนั้นไปเรื่อยๆ แต่ว่าอยู่แบบสบายๆ คราวที่แล้วแม่ก็พูดเรื่อง ‘จิตที่ไม่เป็นธรรมดา’ นึกออกใช่ไหมคะ จิตที่ไม่เป็นธรรมดาคือจิตที่มีความจงใจ มีความตั้งใจทั้งหมดนะ มันคือการเพ่งทั้งหมดเลย ถ้าจิตอึดอัดเมื่อไหร่ก็คือเพ่ง
ฉะนั้นเรา ‘ทำด้วยใจธรรมดา’ ไม่ว่าจะทำสมถะหรือไม่ว่าจะเดินปัญญาทำวิปัสสนา เริ่มด้วยใจคนธรรมดา ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วก็ตามรู้ทันที่จิตหลงไป เริ่มตัวนี้ก่อนเลย พื้นฐานเลย จะเดินจงกรม จะนั่งสมาธิ จะบริกรรม ‘เห็นจิตที่มันแอบหนีไปคิดบ่อยๆ’ ฝึกอันนี้เป็นพื้นฐานไว้ จิตหนีไปคิดรู้ทัน จิตหนีไปคิดรู้ทัน จิตที่ตั้งมั่นรู้เนื้อรู้ตัวมันจะเกิดขึ้น พอมันเกิดขึ้น เดี๋ยวมันก็หลงไปอีก เราก็ทำกรรมฐานต่อ เพราะฉะนั้นในขณะที่เราทำในรูปแบบ ทำกรรมฐาน ก็จะเดี๋ยวรู้…เดี๋ยวหลง เดี๋ยวรู้…เดี๋ยวหลง ตัวนี้มันเพิ่มกำลังของตัวสติ แล้วก็เพิ่มกำลังของสัมมาสมาธินะ
ตัวนี้ในรูปแบบมันจะช่วยฝึกฝนเราให้ตัว ‘สัมมาสมาธิ’ เข้มแข็งขึ้น ฉะนั้นจำเป็นมากๆ เลยรูปแบบ ห้ามทิ้ง แล้วถ้าหากว่าระยะยาวไป บางคนจะมีปัญหาอย่างนี้ พอภาวนาไปถึงช่วงอาจจะ 10 กว่าปี เริ่มท้อแท้ใจ รู้สึกทำแล้วไม่ได้อะไรขึ้นมา รูปแบบก็เริ่มทิ้ง เริ่มไม่ทำ พอเริ่มรูปแบบทิ้ง นี้ก็จะยิ่งไปไกลเลยคือยิ่งภาวนายากขึ้น จิตมันก็ไม่มีกำลัง อันนี้คือเห็นมาจากปัญหาที่ผ่านๆ มา ที่แม่เห็นโยมนะ ฉะนั้นพวกเราต้องอดทน สุดท้ายแล้วธรรมะสุดท้ายคืออดทน อดทนทำยังไงเราถึงจะภาวนาได้ต่อเนื่องยาวนาน จนเข้าใจความจริงของร่างกายของจิตใจ
ยกตัวอย่าง การใช้ชีวิตในทางโลก สมัยก่อนหลวงพ่อกับแม่ก็ใช้ชีวิตทางโลก สมัยก่อนก็ใช้วิธีอย่างนี้ พอเราทำงานทางโลกมันก็ไม่มีเวลา มันก็เหนื่อยใช่ไหม อันนี้เราพูดถึงในแง่ของฆราวาสนะ มันเหนื่อย จันทร์ถึงศุกร์ภาวนาได้นิดหน่อย ในรูปแบบก่อนนอนหรือช่วงเช้าอะไรอย่างนี้ แต่ละคนงานเยอะงานน้อยไม่เท่ากัน ใครมีเวลาก็ได้เยอะ ก็ทำได้เยอะ แต่ถ้าสำหรับคนที่มีเวลาไม่มาก มีเวลาครึ่งชั่วโมงทำตรงนี้นะ กำลังที่มันจะชดเชยการสูญเสียมันไม่พอ มันจะเหมือนว่าครึ่งชั่วโมง พอเราเริ่มจะหายฟุ้งซ่าน เราก็ไม่มีเวลาละ เราต้องนอนพัก เราต้องไปทำงาน ในการภาวนาในช่วงจันทร์ถึงศุกร์อย่างนี้มันจะเหมือนแค่เลี้ยงตัวเองให้รอดเท่านั้นเอง หรือบางทีก็ยังถอยหลังถ้าเจอปัญหา
ฉะนั้นหลวงพ่อก็จะใช้วิธีนี้ ก็คือพวกเราก็จันทร์ถึงศุกร์ก็พอเลี้ยงตัวเอง เสาร์-อาทิตย์เรามีเวลาหน่อยเราก็ภาวนาให้เยอะขึ้นหน่อย ทุก 3 เดือน เบรคตัวเองบ้าง พักภาวนาสัก 2-3 วันนะ มันเป็นการชาร์จแบตเตอรี่ หรืออย่างสิ้นปีหลวงพ่อก็จะพักสัก 7 วัน 10 วัน ไปอยู่วัด สมัยก่อนหลวงพ่อพูดคำนี้เสมอเลยว่าไปชาร์จแบตเตอรี่นะ มันคืออย่างนั้นจริงๆ คือชีวิตของฆราวาสมันไม่ได้ราบเรียบที่จะทำให้เราภาวนาได้ตลอดเวลาหรือได้บ่อยๆ เราต้องยืดหยุ่นปรับเอาตามจังหวะชีวิตของเรา ช่วงไหนงานหนักมันก็จำเป็นนะ ทำงานเราก็ต้องทำมาหากินเลี้ยงตัวเอง หนีไม่ได้ ก็แค่อาศัยนึกถึงกรรมฐานเรื่อยๆ เหนื่อยนักก็นึกถึงกรรมฐานให้เขาพักซะบ้าง แล้วมีเวลาเสาร์-อาทิตย์ภาวนาให้เยอะขึ้นหน่อย ช่วงที่มีวันหยุดยาวๆ เราก็ไปวัดบ้าง ไปฟังธรรมบ้าง สิ่งเหล่านี้มันจะช่วยเลี้ยงช่วยสนับสนุนพวกเรานะให้ภาวนาได้ยาวๆ แล้วมันจะได้มีความคืบหน้า
สิ่งนี้แม่จะบอกกับพระที่มาบวชเสมอนะ เพราะว่าพระที่มาบวชอยู่ที่วัดกิจกรรมต่างๆ มันจะเน้นในเรื่องของการเจริญสติการภาวนา เพราะฉะนั้นพอมาอยู่วัดมาบวชอยู่ช่วงหนึ่ง สมาธิมันจะเยอะ พอสมาธิเยอะมันดูกายดูใจได้ดี พอสึกออกไปปุ๊บแต่ละคนต้องไปใช้ชีวิตทางโลก สมาธิมันตกลง ทำไปไม่ถูกละไม่รู้จะภาวนายังไง แม่ก็แนะนำแบบนี้นะ คืออาศัยช่วงที่มีเวลาทำได้เราก็ทำ มีเวลาช่วงไหนเยอะหน่อยก็เก็บตัวภาวนา
นี่คือชีวิตของฆราวาสที่ก็ผ่านมาด้วยวิธีนี้ หลวงพ่อก็มาแบบนี้และก็ญาติโยมหลายคนที่เขาภาวนาได้เขาก็อาศัยตัวนี้เหมือนกัน อันนี้แม่พูดถึงในแง่จริงๆ เลยของพวกเราที่ใช้ชีวิตที่เป็นฆราวาสที่ต้องทำงาน นี่คือเข้าใจเพราะว่ามันหนักมันเหนื่อย แต่ว่าถ้าเราเห็นว่าความพ้นทุกข์นี่มันมีอยู่จริง เราเห็นว่าความพ้นทุกข์เป็นสิ่งที่เราต้องการ เราก็ต้องให้ค่าให้น้ำหนักของมัน คือให้แบ่งเวลามัน ว่าเราต้องมีเวลาสำหรับการภาวนาของเราทุกวันนะ แต่หน้าที่อื่นเราก็ทิ้งไม่ได้อีก ก็ต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง เพราะฉะนั้นแบ่งเวลาให้ดี แล้วก็กิจกรรมอะไรที่มันไม่จำเป็นที่มันเสียเวลาของเรานี่นะ ถ้าไม่จำเป็นเราก็ลด ลดได้ เราก็ลดไปเถอะ ว่าแค่ที่แม่เล่าให้ฟังนะ ตัวสมาธิของพวกเราก็ยังรั่วไหลตลอดเวลา ขนาดพยายามที่จะรู้สึกอะไรอย่างนี้นะ มันก็ยังรั่ว
เพราะฉะนั้นอย่าไปเห็นอย่างอื่นสำคัญกว่า ‘การพ้นทุกข์’ การภาวนามันก็เหมือนการลงทุนตัวหนึ่งนั่นแหละ เราลงทุนลงแรงไป ผลมันก็ต้องย้อนกลับมาหาเรา ทุกคำทุกตัวมันมีผลก็แค่ว่าพูดถึงว่าให้พวกเราเห็นความสำคัญ ให้เวลากับเขา แบ่งเวลากับเขา ทำสม่ำเสมอไป เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จำเป็นมาก อีกอันหนึ่งก็คือทุกคนนั่นแหละนะ เวลาใช้ชีวิตทางโลกนะ ปัญหามันมาเสมอ ปัญหาชีวิตที่มันจะเข้ามาเป็นช่วงๆ นะ บางช่วงหนัก บางช่วงเบานะ อันนี้ขึ้นกับวิบากของแต่ละคน ที่เรามีปัญหาส่วนใหญ่พวกเราก็เป๋นะ
ถ้าเราทำสมาธิหรือเราทำในรูปแบบสม่ำเสมอ เรามีสัมมาสมาธิเวลาที่มีปัญหาจิตมันจะสู้ไหว เพราะฉะนั้นช่วงไหนที่เรามีความสุขเยอะๆ อย่าประมาท พยายามภาวนาไว้ให้เราเข้มแข็ง เวลาเจอปัญหาขึ้นมา เราจะได้ไม่ล้มหรือจะได้แบบมีแรงที่จะสู้กับเขา ดูสิ…ทั้งการสู้กิเลสนะ มันก็ต้องใช้สมาธิ การที่สมมุติว่าเดี๋ยวอยู่ๆ เราก็เกิดเจ็บป่วยขึ้นมา เวทนาที่กล้าก็ต้องใช้สมาธิ ทุกสิ่งทุกอย่างเลยนะ เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสมอที่จะรับทุกปัญหาที่เข้ามาเลย ทำเต็มที่ไป ส่วนว่าชาตินี้เราจะพัฒนาได้แค่ไหน ก็ไม่เป็นไร แค่ว่าเรามีหน้าที่สะสมไป สะสมไปเรื่อยๆ ชาติหน้าก็ไปทำต่อ วันหนึ่งมันก็ถึงจนได้นะคะ วันนี้แม่ขอเน้นย้ำเรื่องของสัมมาสมาธิเลย จำเป็นมากนะ แค่จะรู้ๆ อยู่โดยไม่ทำรูปแบบเป็นไปไม่ได้
แต่พวกเราที่มานั่งฟังตรงนี้แม่เชื่ออยู่ว่าเป็นคนที่จริงจังนะ ค่อนข้างทำในรูปแบบกันอยู่เสมออยู่แล้ว ก็ขอให้พวกเราพากเพียรไป อดทนนะ เปรียบเทียบการภาวนาเราอย่าเป็นม้าตีนต้น แล้วเราก็อย่าเป็นม้าตีนปลายนะ เหมือนการสอบคือถ้าเราอ่านหนังสือตั้งแต่ต้นเทอม ตอนที่เราสอบจิตใจเราจะมั่นคงสอบได้อย่างเป็นปกติ แต่ถ้าหากว่าเรารีบๆ แบบอยากจะเรียนให้เต็มที่หรือหักโหมกันไป เช่น เราเรียนหนังสือ ถ้าเราคร่ำเครียดมากเกินไป ถึงกลางเทอมเราจะหมดแรงแล้ว หรือใกล้สอบแล้วเพิ่งจะมาอ่านหนังสือ คือทุกอย่างอย่าเป็นอย่างนั้น การภาวนาให้อาศัยความสม่ำเสมอ สะสมกำลังของเราไปเรื่อยๆ
เราไม่ต้องรีบร้อน ภาวนาทุกวันซ้อมทุกวัน ทำตามหน้าที่ของเราไปเรื่อยๆ มันจะค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างที่ไม่ยากลำบากเกินไป สมาธิตัวนี้สำคัญจะทำให้เราสู้ชีวิตได้หรือเปล่า สู้กับปัญหาในโลกได้หรือเปล่า ตัวนี้มีส่วนช่วยเยอะมากเลย ถ้า ‘จิตเรามีกำลัง ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู’ เวลาปัญหามาความทุกข์มา เราจะสามารถแยกความทุกข์ออกเป็นสิ่งที่ถูกรู้ได้
ถ้าจิตเราไม่มีกำลัง เวลาเราทุกข์ขึ้นมา เราก็จะจมแช่อยู่กับปัญหา จิตมันจมลงไปเลย แต่ถ้าจิตเรามีกำลัง มีความทุกข์ มีความเศร้าเสียใจ ก็จะเห็นความรู้สึกทุกข์ ความรู้สึกเศร้าเสียใจ ‘ไม่ใช่จิต เป็นสิ่งที่ถูกรู้’ ถ้าจิตไม่มีกำลัง มันแยกไม่ได้ มันก็ไม่สามารถจะผ่านตัวนี้ได้ ถ้าเราเห็นความทุกข์ เห็นความทุกข์ใจต่างๆ มันเกิดขึ้นตั้งอยู่หายไป ขณะที่ความทุกข์หายไปนะ จิตใจเราตอนนั้นเป็นปกติ จิตใจเราไม่ทุกข์ ในขณะที่ปัญหายังดำรงอยู่ พวกเรานักปฏิบัติเนี่ยเราน่าจะเคยเห็นแล้วว่า ขณะที่มีปัญหาอยู่นี่นะเราไม่ทุกข์ก็ได้นี่คือผลในการปฏิบัติ
ฉะนั้นถ้าเราไม่ทุกข์ก็ได้ ปัญหามันก็แค่เป็นเรื่องชั่วคราวในชีวิต ก็แก้เท่าที่แก้ได้ ใช้เหตุใช้ผลแก้ คือถ้าเราไม่ถูกความเศร้าหมองความทุกข์ที่ครอบงำใจอยู่ จิตเราเป็นปกติ เวลาเราแก้ปัญหาเราจะไม่มีไบแอส (Bias) จะไม่มีอะไร ก็จะใช้เหตุใช้ผลว่า สิ่งนี้ควรทำอย่างไรก็ทำไป ส่วนการแก้ปัญหาจะได้ผลหรือเปล่ามันไม่ได้ขึ้นกับเราอย่างเดียว มันขึ้นกับสิ่งที่แวดล้อมปัญหาตัวนั้นด้วย เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราคือทำเต็มที่เท่าที่ทำได้แล้วก็หมดหน้าที่เราแล้ว ในทางโลกอย่าไปจริงจังกับมันมากนัก ชีวิตเป็นของชั่วคราว อยู่กันไม่เกิน 100 ปี คนที่อยู่ในนี้นะก็แยกย้ายกันหมดแล้ว
ฉะนั้นอะไรถ้ามันไม่นักหนาก็ปล่อยไปบ้างนะ ถ้าเราปล่อยได้ใจเราก็สบายขึ้น ภาระทางใจเราลดลง ใจเราก็เป็นอิสระขึ้น เราก็จะมีกำลังที่จะมาภาวนาได้ดีขึ้น
คุณแม่ชีอรนุช สันตยากร
วัดสวนสันติธรรม จังหวัดชลบุรี
9 มิถุนายน 2567
ณ บ้านจิตสบาย
©️ มูลนิธิสื่อธรรมหลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ที่มาคลิป: https://youtu.be/2V-AgnROil8
#สู้กิเลสเเละแก้ปัญหาด้วยสัมมาสมาธิ #งานกรรมฐานเป็นงานระยะยาว #ทำในรูปแบบสม่ำเสมอ #สะสมความพากเพียร #สะสมปัญญา #สะสมบารมี #พ้นทุกข์ #สัมมาสมาธิ #เดินปัญญา #จิตที่ตั้งมั่นรู้เนื้อรู้ตัว #เข้าใจธรรมะ #หลวงพ่อปราโมทย์ #หลวงพ่อปราโมทย์ปาโมชฺโช #หลวงปู่ปราโมทย์ #หลวงปู่ปราโมทย์ปาโมชฺโช #คุณแม่ชีอรนุช #คุณเเม่นุช #คุณแม่ชีอรนุชสันตยากร #ทำด้วยใจธรรมดา #ทำในรูปแบบ #กรรมฐาน #คำบริกรรม #ใช้กายเป็นฐาน #รู้สึกร่างกาย #นึกถึงร่างกายเนืองๆ #เพิ่มกำลังของตัวสติ #จิตที่ไม่มีความจงใจ #เพ่ง #ภาวนาให้ต่อเนื่องยาวนาน #เข้าใจความจริงของร่างกายของจิตใจ #ใช้ชีวิตทางโลก #พักภาวนา #สมาธิ #การเจริญสติ #บ้านจิตสบาย