เรื่องมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งพุทธเจ้าได้ยินเสียงอึกกระทึกอยู่ที่พระคันธกุฎี ได้ยินเสียงอึกกระทึกก็เรียกพระอานนท์มาว่า “ไปดูซิว่ามีอะไรเกิดขึ้น ทำไมจึงมีเสียงดังเหมือนกับชาวประมง” ท่านว่าอย่างนี้เลยนะ ใช้คำว่าเหมือนกับชาวประมง ชาวประมงที่ขายปลา เคยไปสะพานปลาไหม…เคยไหม จะมีการเอาปลามาแล้วก็ตะโกนบอกราคากัน อันนั้นก็จะเอา อันนี้ก็จะซื้อนะ อันนี้ก็จะขาย จะบอกว่า…จะกี่กิโล โลละเท่าไหร่ ปลานี้ปลาอะไร แล้วก็ตะโกนกันอยู่ในสะพานปลา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเสียงเหมือนชาวประมงขายปลา
พระอานนท์ก็ออกไปดูก็กลับมากราบทูลว่า “เป็นอดีตชาวประมงพระเจ้าค่ะ” เป็นภิกษุอดีตชาวประมง 500 รูปนะ ก็มีอยู่กลุ่มเดียวนั่นแหละก็คือกลุ่มที่เคยนำปลามาถวายพระราชา พระพุทธเจ้าก็รับสั่งให้เรียกมา เอามาให้หมดเลย พระอานนท์ก็ไปเรียก เรียกตัวพระภิกษุทั้งหมดเลยมา ก็ถาม “เมื่อสักครู่นี้เสียงของพวกเธอเหรอ” (ตอบ) “ใช่พระเจ้าข้า กระหม่อมฉันเพิ่งกลับ เพิ่งเข้ามาเป็นอาคันตุกะของวัดนี้ เลยส่งเสียงทักทายกับพระเจ้าถิ่น ว่าไปไหนมาด้วยความคุ้นเคย เสียงดังไปหน่อยพระเจ้าค่ะ”
พุทธเจ้าตรัสว่า “นี่ขนาดอยู่ที่นี่ ซึ่งมีเราเป็นประธานอยู่ตรงนี้ เราผู้รักความสงบ รักความร่มรื่นของสถานที่ รักความเงียบ สรรเสริญความเงียบ เธอยังส่งเสียงขนาดนี้ อย่าอยู่กับเราเลย”
พูดง่ายๆ คือไล่…ไปเถอะ เพิ่งมานะ ยังไม่ได้เก็บของเลย เพิ่งมาแล้วก็ทักทายกับพระเจ้าที่นิดเดียวเท่านั้นเอง ถูกเรียกตัวมานึกว่าจะชี้ให้ไปพักกุฏินั้นกุฏินี้ เปล่า…ไป บอกไปเถอะ อย่าอยู่กับเราเลย
ความดีของท่านนะก็คือว่าไม่มีใครสักรูปหนึ่งเลยนะที่จะพูดขัดแย้งกับพระพุทธเจ้า พระกลุ่มนี้นะ ไม่มีแบบ…โอ้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญลงโทษหนักไป หรือว่าขออยู่สักคืนหนึ่งไม่ได้หรอพระเจ้าข้า เอาของมาแล้ววางแล้วอุตส่าห์มาถึงแล้ว ขอพักสักคืนอะไรอย่างนี้ ไม่มีเลยนะ สั่งคำไหนรับคำนั้น รับคำนั้นเลย ถามว่าเสียใจไหม เสียใจนะแต่ไม่มีอุทธรณ์ฎีกา รับเลยนะ รับคำเลย “พระเจ้าค่ะ” บอกให้ไป ไป แล้วก็ไปอยู่ไกลเลยนะ
แล้วหัวหน้าก็เรียกประชุมพระที่ถูกขับไล่มานี่นะ บอกว่าที่เราถูกขับไล่มาเพราะว่าเสียงดัง ไม่เป็นที่พอพระทัยคือไม่ได้มาตรฐาน ขอให้เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจพวกเรา ต่อไปนี้เราจะอยู่กันเงียบๆ และภาวนากันอยู่ในที่นี้แหละ แล้วก็ตั้งใจให้เป็นที่พอพระทัยของพระพุทธเจ้าด้วยการปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าจะเอาของขวัญหรือเอาสิ่งของอะไรไปถวายพระพุทธเจ้านะ จะเอาการปฏิบัตินี้ถวายให้พระพุทธเจ้าพอพระทัย พระพุทธเจ้าพอพระทัยในสิ่งใดเราจะทำสิ่งนั้นนะ เราพลาดไปในคราวนี้ทำให้ถูกขับไล่มา ให้เป็นเครื่องเตือนใจ ไปเรา…พวกเราแยกย้ายกันภาวนา ปรากฏว่าภายในพรรษานั้นนะบรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลยก่อนออกพรรษา
ออกพรรษาปุ๊บท่านก็ยังอยู่ที่เดิม วันหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จแล้วมอง น่าจะเป็นวันที่ท่านบรรลุกันนะ ท่านมองเสร็จแล้วก็พูด ท่านตรัสกับพระอานนท์ว่า “ทิศนี้สว่าง” ว่าทิศนี้สว่างจัง แล้วท่านก็ดู…ก็เห็นว่ากลุ่มพระที่เป็นอดีตชาวประมงบรรลุเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว ท่านก็เรียกพระอานนท์ว่า “ทิศนี้นะ…ที่วัดนั้น ให้ส่งพระไปนิมนต์พระเหล่านั้นมาหาเราที” คราวก่อนไล่ไปคราวนี้ส่งทูตไปเชิญมา พระอานนท์ท่านก็ “ที่ไหนนะครับ โอ้โห…วัดโน้นไกลจัง” แล้วคำของพระพุทธเจ้าคือเหมือนประมาณว่าให้มาเดี๋ยวนี้ พระอานนท์ท่านก็ฉลาดนะ อยู่ไกลใช่มั้ย ท่านไม่ไปเอง ท่านก็รู้อยู่ว่าองค์ไหนเก่ง สมมุติว่านี่นะเหาะได้อภิญญาเยอะ มานี่หน่อยสิ โอ้…อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเรียกพระอภิญญาแค่ไหนก็ต้องมาใช่ไหม “มานี่ๆ พระพุทธเจ้าให้ไปวัดนั้นนะเจอพระแล้วก็นิมนต์มาทั้งหมด ณ บัด นาว” (อันนี้ไม่ใช่นะ ณ บัด นาว นี่ภาษาบาลีไม่มีนะ) ก็ให้ท่านไป ท่านก็ใช้ถูกองค์ พระท่านก็หายตัว…ฟั๊บเข้าไป ท่านก็ใช้สำนวนว่าเปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนหรือคู้แขน สมมุติว่าตอนนี้อยู่เชตวันนะ ฟิ้ว…ไปถึงแล้ว ถ้าเป็นเน็ตก็เน็ตดีมากนะ ไหลลื่น ฟิ้ว…ถึงเลย ไปถึงปุ๊บก็ไปรายงานให้กับพระอรหันต์ทั้งหลายในที่นั้น ท่านก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสเรียก ถามว่าดีใจไหม ดี๊ด๊าไหม พระอรหันต์นะ ดีใจไหม ดี๊ด๊าไหมแต่ว่ารู้อยู่แล้วว่าพระพุทธเจ้าพอพระทัยแล้ว ก็มาพร้อมกับทูตที่เชิญ ก็ใช้เวลาเท่าไหร่ ฝึ่บ…เข้ามา เสียเวลามากคือตอนคุย คือไปบอกว่าพระพุทธเจ้าเชิญท่านทั้งหลายนิมนต์ท่านทั้งหลายมา ตอนมานะแป๊บเดียว ฟิ้ว…มาเลย ถ้าเราอยู่ในช่วงนั้นนะคงสนุก เราคงตื่นเต้นกับอะไรฟิ้วๆ พระพุทธเจ้าเพิ่งให้ไปนิมนต์ปุ๊บมาเลย ในความรู้สึกของเรานะ อ่ะ…มาแล้วเหรอ! คนสมัยนั้นน่าจะเห็นกันบ่อย
พอมาถึง พระพุทธเจ้านั่งสมาธิอยู่ เหตุการณ์ตอนนี้คือตอนเย็นๆ หัวค่ำ มาถึงปุ๊บ พระอานนท์ก็เห็นว่าพระทั้ง 500 รูปมาแล้ว พระอานนท์ยังไม่ทราบว่าเป็นพระอรหันต์นะ รู้อยู่แค่ว่าชุดนี้เพิ่งโดนไล่ไปเมื่อไม่กี่เดือน ตอนนี้พระพุทธเจ้าเรียกมา แต่ตอนนี้พระพุทธเจ้านั่งสมาธิเข้าฌานสมาบัติที่เรียกว่า ‘อาเนญชสมาธิ’
จะมาตอนนี้นะ ‘อาเนญชสมาธิ’ เล่ามาตั้งนานนะ พระพุทธเจ้านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ พระอานนท์ก็เข้าไปเห็นพระพุทธเจ้านั่งสมาธิอยู่ ก็ไม่กล้ารบกวน ก็ออกมาจะมาบอกกับพระ 500 รูป บอกว่ารอสักครู่นะตอนนี้พระพุทธเจ้ากำลังเข้าสมาธิอยู่ ออกมาเห็นภิกษุทั้งหลาย 500 รูป ทั้ง 500 รูปนั่งสมาธิเหมือนกัน เหตุการณ์อย่างนี้คือว่าตอนที่พระอานนท์เดินเข้าไป พระที่เป็นหัวหน้าท่านก็ดูอยู่ว่าพระพุทธเจ้าทำอะไรอยู่ ดูก่อนพระอานนท์อีกนะ พระอานนท์ต้องเดินไป พระท่านก็ไปดูเลย ดูปุ๊บรู้เลยว่าพระพุทธเจ้ากำลังเข้าสมาธิอันนี้อยู่ ก็เลยบอกกับพระที่มาด้วยกัน บอกว่าตอนนี้พระพุทธเจ้าเข้าอาเนญชสมาธิอยู่พวกเราเข้าด้วยกันดีกว่า เข้าปุ๊บ…นั่งสมาธิ พระอานนท์เพิ่งไปถึงแล้วก็เห็นพระพุทธเจ้านั่งสมาธิก็ออกมาจะมาบอก อ้าว…นั่งกันเงียบเลย ก็เลยปล่อยให้นั่งไป ฉากนี้มีพระอานนท์เดินไปเดินมานะ พระอานนท์ก็เดินไปเดินมา…
ผ่านไป 1 ยาม ราตรีหนึ่งมี 3 ยาม ปฐมยาม มัชฌิมยาม แล้วก็ปัจฉิมยาม ผ่านไป 1 ยามประมาณกี่ชั่วโมง 1 คืนประมาณ 12 ชั่วโมง 1 ยามก็เท่าไหร่ 4 ชั่วโมง เรียนธรรมะต้องคำนวณเก่งๆ นะ ต้องมีคณิตศาสตร์ด้วยนะ 1 ยามมี 4 ชั่วโมง ผ่านไป 4 ชั่วโมง ปฐมยามผ่านไป พระอานนท์ก็เข้าไปกราบทูลพระพุทธเจ้า แม้ว่าพระพุทธเจ้านั่งสมาธิอยู่พระอานนท์ก็รวบรวมความกล้า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระภิกษุที่พระองค์เรียกมา รอพบท่านรอพบพระองค์มาตั้งแต่หัวค่ำแล้วตอนนี้ผ่านปฐมยามแล้ว ขอพระองค์ออกมาพบกับพระภิกษุเหล่านั้นเถิด” พุทธเจ้าลืมตานิดนึงแล้วก็ไม่คุยไม่บอกไม่พูดอะไรหลับตาต่อ พระอานนท์ก็เข้าใจว่ายังไม่ใช่เวลา ก็ออกมาออกมาพระทั้งหลายก็นั่งนิ่งอยู่ ‘อาเนญชสมาธิ’ คือนั่งไม่หวั่นไหวเลย เดินไปเดินมาผ่านไปอีก 4 ชั่วโมงเท่าไหร่ละ ตี 2 นะ เมื่อกี้ 4 ทุ่มนะ เดินไปเดินมา ตี 2 พระอานนท์ก็ไม่นอนด้วยนะ เป็นพระอุปฐากนี่ไม่ใช่ง่ายนะ ไม่ใช่งานง่าย ไม่ได้นอนนะ
ผ่านยามที่ 2 แล้ว รวบรวมความกล้าอีกครั้งนึง เข้าไปกราบทูลพระพุทธเจ้าแบบเดิมเลย พุทธเจ้าก็ลืมตามานิดนึงแล้วก็ไม่หวั่นไหว ยังไม่รับแขกประมาณนี้ ก็เดินจงกรมต่อ พระอานนท์นะเดินไปเดินมา ผ่านไปจนใกล้รุ่งก็คือปัจฉิมยามผ่านไป คราวนี้ก็กราบอีกทีนึงไปกราบทูล กราบทูลว่า “พระภิกษุที่พระองค์เรียกให้มา มาแล้ว รอมาทั้งคืนแล้ว แล้วก็ยังนั่งรออยู่ไม่ไปไหน พระองค์เสด็จไปพบกับพระเหล่านั้น” พุทธเจ้าลืมตามาคราวนี้พูดกับพระอานนท์ว่า “อานนท์ ถ้าเธอเข้าอาเนญชสมาธิได้ เธอจะไม่มาพูดอะไรกับเราอย่างนี้เลย แล้วเธอจะไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขานั่งนิ่งๆ กัน” ประมาณนี้นะ
พอพูดคำว่า ‘อาเนญชสมาธิ’ บอกว่าเราเมื่อคืนนี้เราเข้าอาเนญชสมาธิและพระภิกษุทั้งหลายก็เข้าอาเนญชสมาธิ พระอานนท์เข้าใจเลยว่าพระเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์กันหมดแล้ว จากพระถูกขับไล่ก็เข้าอาเนญชสมาธิ อาเนญชสมาธิที่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุทั้งหลายที่เข้าด้วยกันพร้อมๆ กัน ไม่ได้ใช้วิธีเชื่อมจิต ต่างคนต่างเข้า แต่เข้าสมาธิเดียวกันและเป็นสมาธิที่โดยชื่อก็คือว่า ‘ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว’ แล้วเป็นคุณสมบัติเฉพาะของพระอรหันต์เท่านั้นที่เข้าได้ นี่ถ้าอ้างว่าเขาใช้สมาธิตัวนี้แล้วเป็นตัวใช้สอน ก็แสดงว่าน่าจะเป็นพระอรหันต์แล้วมั้งนะ ถ้าเขาเข้าได้จริง แต่โดยวิธีการไม่น่าใช่
ก็เล่าเรื่องนี้มาเพื่อจะได้รู้ที่มาที่ไปของธรรม ถ้าเราได้ยินคำไหนถูกกล่าวอ้าง แล้วก็ลองไปเปิดดูในพระไตรปิฎก เรื่องไหนเคยฟังคลับคล้ายคลับคลาก็ไปทบทวนดูว่า เรื่องนี้ที่เขาอ้างมาในพระไตรปิฎกว่ายังไง สิ่งที่เขากล่าวอ้างมันตรงกันไหมกับพระไตรปิฎก นี่คือเป็นวิธีรักษาตัวเองไม่ให้ถูกใครเขาหลอกลวงเอาได้ แล้วก็เป็นวิธีรักษาพระไตรปิฎกด้วย พระไตรปิฎกที่บันทึกเอาไว้ ถ้าบันทึกอยู่เงียบๆ ไม่มีใครเปิดอ่านเลยก็ไม่มีประโยชน์นะ เราก็เป็นผู้ที่ไปเปิดแล้วก็ทำความเข้าใจก็เป็นวิธีรักษาพระไตรปิฎกด้วย รักษาคำสอนของพระพุทธเจ้า รักษาพุทธธรรม ธรรมะของพระพุทธองค์เอาไว้ พุทธธรรมนี่ก็ความหมายกว้างๆ ก็นอกจากเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็คือความหมายของพุทธะทั้งหลาย ก็คือเป็น อนุพุทธะก็ได้นะ อนุพุทธะก็เป็นผู้ตรัสรู้ตามเป็นพุทธะประเภทหนึ่งเหมือนกัน
อย่างในพระไตรปิฎกไม่ได้มีคำสอนเฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น มีคำสอนของพระโมคคัลลา พระสารีบุตร พระมหากัสสปะ แม้แต่พระอานนท์ก็มีหรือว่าของพระมหากัจจายนะ เป็นคำสอนของพุทธะทั้งหลายที่บันทึกเอาไว้ในพระไตรปิฎก แต่โดยแกนหลักก็คือคำสอนของพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธะที่ตรัสรู้เอง
พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
สวนธรรมประสานสุข จังหวัดชลบุรี
28 เมษายน 2567
ณ บ้านจิตสบาย
ที่มาคลิป: https://youtu.be/ESKM6aznMMA
#อาเนญชสมาธิ #สมาธิไม่หวั่นไหว #พระอาจารย์กฤช #พระอาจารย์กฤชนิมมฺโล #นิมมฺโล #ภิกษุอดีตชาวประมง500รูป #อดีตพระชาวประมง #ปฏิบัติบูชา #เครื่องเตือนใจ #บรรลุเป็นพระอรหันต์ #นั่งสมาธิ #เข้าฌานสมาบัติ #พระไตรปิฎก #ทบทวนคำสอน #รักษาพระไตรปิฎก #รักษาคำสอนของพระพุทธเจ้า #รักษาพุทธธรรม #ธรรมะของพระพุทธองค์ #บ้านจิตสบาย