อาจารย์ณพัทธ์พล คุณาธนะเศรษฐ์

ให้โลกทั้งใบเป็นห้องกรรมฐาน

วันที่ 14 มกราคม 2567  

เราวาดภาพการภาวนา การปฏิบัติ เอาไว้แค่ตัวสมาธิ ความสงบใช่ไหม นึกภาพแล้วเราจะทำอะไร เวลาเราจะภาวนา นึกภาพออกไหม เรานั่งนึกถึงอะไรก่อน เรานึกถึงนั่งสมาธิใช่ไหม

จริงๆ แล้วการภาวนานี่มันไม่ใช่เรื่องนั่งสมาธิอย่างเดียว มันคือการใช้ชีวิตตลอดนั่นแหละ เราเปิดไอเดียใหม่ๆ บ้าง การภาวนาจริงๆ คือ “การใช้ชีวิตทั้งชีวิตนั่นแหละ” ตั้งแต่ตื่นจนนอน ‘เราเปลี่ยนทั้งหมดให้เป็นห้องกรรมฐาน’ ห้องกรรมฐานของเราไม่ใช่แค่นั่งสมาธิเอาสงบตรงนั้นมันตื้นไปหน่อย มันจะเป็นแค่หนึ่งส่วนแปด จะว่าหนึ่งส่วนแปดอาจจะยังไม่ใช่ด้วยซ้ำไป หนึ่งในส่วนแปดคืออะไร คือ ‘มรรคมีองค์ 8’ 

ถ้าเราตีความว่า ความสงบคือการปฏิบัติธรรม ทำยังไงให้สงบ ทำยังไงให้จิตมีสมาธิ มันก็คือหนึ่งส่วนแปด แล้วถ้าหนึ่งส่วนในส่วนแปด ที่เป็น ‘สมาธิ’ เราไปทำสมาธิที่ผิด ไปทำสมาธิแบบมิจฉาสมาธินี่เท่ากับอะไร ไม่ได้หนึ่งในแปดนะ ใช่ไหม เราไม่ได้เดินในทางมรรคมีองค์ 8 สิ่งที่เรามาเดินนี่ จริงๆ มันคือการใช้ชีวิตทั้งหมด และยิ่งเป็นธรรมะที่เหมาะกับพวกเราที่เป็นคนเมือง คนเมืองที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ จริงๆ ทั้งหมดนี้เราใช้ชีวิตอยู่มันเหมือนบททดสอบ มีทุกวันเลย มีทุกวันที่เป็นบททดสอบ มาทดสอบจิตใจเรา ทดสอบหัวใจเรา ว่าหัวใจเรามันมั่นคงในธรรมะขนาดไหน

บทเรียนที่พระพุทธเจ้าสอน มรรคมีองค์ 8 นั้นย่อลงมาเป็น ‘ศีล สมาธิ ปัญญา’ ถูกไหม เพราะฉะนั้นบทเรียนของเรา ที่เราต้องเดินอยู่ใน 3 อันนี้ ฉะนั้นผมถึงให้ไอเดียไปว่ารวมเป็นการใช้ชีวิตทั้งหมดเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราตัดสินใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพบปะในชีวิต มันจะเป็นเครื่องทดสอบหัวใจเรา เป็นเครื่องทดสอบจิตใจเรา แล้วเครื่องทดสอบอันนี้ มันจะเป็นเครื่องที่บอกได้ว่า ธรรมะเรามั่นคงในหัวใจขนาดไหน เรามีจิตใจที่พร้อมจะเดินไปข้างหน้าขนาดไหน

มันไม่ได้ไปวัดอย่างอื่นนะ ไม่ใช่ว่า เฮ้ย…เราทำสมาธิได้เยอะ คนนี้เก่งกว่าคนนี้ คนนี้ อุ๊ย…สงบ คนนี้มีสมาธิดีกว่าคนอื่น มันต้องเก่งกว่า ถ้ารู้สึกว่าวัดว่าเก่ง คนไหนเก่งกว่าไม่เก่งกว่า อันนี้มันไม่ได้วัดในเรื่องธรรมะเลย ในธรรมะมันมีแต่ถอดถอนตัวตนเราออก ใครที่ถอดถอน ละตัว ละตน ละกิเลสได้มาก คนนั้นน่ะไปได้ดี  มันไม่ใช่เรื่องที่ว่าเราทำสมาธิได้ดีแล้วเราจะไปได้ดี

สิ่งที่หลวงพ่อท่านมาสอนมันเป็นสิ่งที่เปิดไอเดียใหม่ๆ เหมือนกัน แล้วกว่าหลวงพ่อท่านจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ เป็นจุดที่หลายๆ คนเริ่มเห็นประโยชน์แล้ว หลายๆ คนเริ่มทำแล้วได้ประโยชน์จริงๆ ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่มาทีหลัง เเล้วก็จากไม่สนใจ แล้วพอมาสนใจ ทำไมถึงสนใจ จริงๆ ทำไมถึงสนใจ ผมก็เหมือนๆ กับเด็กทั่วๆ ไป ไม่ได้ว่าต่างจากเด็กทั่วๆ ไปเลย แต่นี่ทำไมถึงสนใจล่ะ? เพราะว่าสิ่งที่หลวงพ่อสอน  มันทำได้จริง แล้วสิ่งที่หลวงพ่อสอนต่างๆ เวลาเราเจอชีวิตจริงๆ แล้วนำเอามาใช้จริงๆ ได้ แล้วเราพบว่าจิตใจเรามีความสุขมีความสงบมากขึ้น 

‘สุขสงบ’ อันนี้มันไม่ใช่หมายถึงว่าสงบทื่อๆ นะ มันคล้ายๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเจอ เราตัดสินใจในทางที่ถูก เดินในทางที่ถูก มันไม่ใช่ว่าเราจะไม่ทุกข์ ไม่ใช่ว่าเราจะชีวิตดีกว่าคนอื่น แต่ทุกสิ่งที่เราเจอน่ะ เรารู้ว่าเรารับมือยังไง ตรงนี้ผมว่ามันเป็นคุณค่าหลักๆ เลยที่ได้มาเรียนกับหลวงพ่อ เพราะว่ากรรมฐานที่ใช้ในชีวิตประจำวันนะมันเอามาใช้ได้ทุกๆ อย่าง

เราจะเห็นว่าเราใช้ชีวิต มีอะไรต่างๆ มากระทบ ทั้งเรื่องครอบครัว เรื่องงาน เรื่องใช้ชีวิต เรื่องเงิน
เรื่องเศรษฐกิจ ทุกสิ่งทุกอย่าง ปัจจุบันนี้คล้ายๆ ว่ามันเหมือนถาโถมเข้ามา ทุกวันที่เราตื่นนอนขึ้นมา เราออกจากห้องนอนลงมาใช้ชีวิต เราพบคล้ายๆ ว่ากระแสรุนแรงที่มันถาโถมเข้ามาตลอด ทีนี้ถ้าเราเป็นคนที่เอาแต่ความสงบ เราจะใช้ชีวิตในโลกไม่ได้เลย เนื่องจากคนในเมืองอย่างพวกเรา เราจำเป็นต้องใช้ชีวิต นึกออกไหม แล้วจะทำไงให้เราภาวนาได้ ถ้าจะทำยังไงให้เราภาวนาได้ เราอาศัยจากทุกสิ่งที่มากระทบจิตใจเรานี่แหละ เราเปลี่ยนให้มันเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการภาวนาของเรา ตัวนี้จะว่าเป็นส่วนที่เราต่างจากพระก็ใช่ อย่างพระท่านมีเวลาภาวนาเยอะ พระท่านได้เปรียบเราเยอะนะ ครูบาอาจารย์ท่านพูดปลอบใจนะ ท่านบอกปลอบใจนะว่าแบบฆราวาสก็ทำได้ วงเล็บนะ ‘ถ้าฆราวาสทำได้เท่าๆ กับพระ’ จริงๆ น่าจะมีวงเล็บข้างหลัง เพราะส่วนใหญ่พวกเราทำไม่เท่า อย่าบอกว่าพวกเราทำเท่าเลย มันไม่เท่าหรอก พวกเราไม่ได้ภาวนาทั้งวันเหมือนอย่างที่หลวงพ่อทำ ตัวนี้เป็นจุดตัดที่ต่างกัน ถ้าไม่ได้ภาวนาทั้งวันอย่างที่หลวงพ่อทำมันก็ช้ากว่าพระนั่นแหละ จะภาวนาทั้งวันยังไง เราไม่ได้มีเวลามาทำรูปแบบนึกออกไหม เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกผัสสะที่เราเจอ ตัวนี้แหละตัวกระตุ้นที่ดีเลยที่จะภาวนาได้หรือเปล่า คล้ายๆ ว่าเราเข้าไปใช้ชีวิต ในชีวิตประจำวันนี่แหละเป็นห้องกรรมฐานของเรา เพราะทุกอย่างมันกระตุ้นกิเลสทั้งนั้นเลย

กิเลสหยาบ กิเลสละเอียดเป็นตัวกระตุ้นเราทั้งนั้น ถ้าเราอาศัยมันเป็นสิ่งกระทบแล้วเรารู้ทันจิตใจตัวเองได้ รู้สึกตัวเป็น รู้ทันจิตใจตัวเองได้ ตัวนี้เราจะภาวนาได้ แล้วมันภาวนาได้ดีด้วย แล้วถ้าภาวนาได้ดีนะ การใช้ชีวิตเราก็ถูกต้อง ความคิดความอ่านเราถูก การพูดจาเราถูก เราก็เดินไปได้ นี่ถึงจะเรียกว่าภาวนาไม่ต่างจากพระ เพราะฉะนั้นนะเราไม่จำเป็นจะต้องว่า เฮ้ย…เราปลีกตัวเอง เราจะปลีกตัวเองออกไปแล้วจะเริ่มภาวนา เริ่มภาวนามันเริ่มตั้งแต่ตรงนี้แหละ เริ่มตั้งแต่ ณ ตอนนี้ เนี่ย…พูดแบบคนยุคปัจจุบัน คือทำตั้งแต่ในตอนนี้แหละ เพราะว่าผัสสะทุกอย่างมันมีนะ ทุกๆ ขณะที่เราเจอนั่นแหละ

เวลามีอะไรเกิดขึ้น วัดจิตใจเรา รู้สึกตัวให้เป็น คือเวลามีกิเลสอะไรมากระทบ กระทบแล้วรู้ รู้สภาวะ อ่านสภาวะ อ่านจิตใจเราให้เป็น คือมันไม่ได้เหนือธรรมชาติเหนืออะไรเลย อย่างใช้ชีวิตประจำวันใช่ไหม ไปทำงานอย่างนี้ โอ๊ย…เจอหน้าคนนี้รู้สึกยังไง เจองานอย่างนี้รู้สึกยังไง งานอย่างนี้บางทีมันทำให้เราแบบเครียดจัด เรามีทางเลือก 2 อย่าง คือเราจะทำงานไปด้วยความเครียด อาศัยความเครียดแบบผลักดันในการทำงาน

คนสมัยนี้สอนกันจริงๆ นะ มันต้องมีแพชชั่น (Passion) ในการทำงาน นึกออกไหม เคยได้ยินไหม ประโยค “ถ้าไม่มีแพชชั่น (Passion) ทำงานไม่ได้” โอ้…นี่มันสอนเฮงซวยมากเลย  จริงๆ นะเวลามีแพชชั่น (Passion) คืออะไร มี ‘กิเลส’ มันใช้กิเลสทำงาน ใช่ไหม มันเอากิเลสมานำหน้าทำงาน วันๆ มีแต่กิเลสทั้งนั้นเลย จริงๆ จะให้ถูก คือไม่ได้ใช้แพชชั่น (Passion) ทำงานนะ ใช้ ‘สติ’ ทำงานถึงจะถูกเพราะว่าอะไร จริงๆ ดีที่สุดในการทำงานนะ มีสติในการทำงาน เพราะว่าเรื่องทำงานต่างๆ เราจะสังเกตว่า งานก็อยู่ส่วนงาน แต่กิเลสที่เกิดจากการทำงานเป็นส่วนเกิน ใครจะบอกว่าทำงานแล้วคุณภาวนาไม่ได้ มันไม่ใช่ เพราะทุกครั้งที่ทำงาน ทุกครั้งที่เจอคน ทุกครั้งที่กระทบผัสสะมันตามด้วยกิเลสมาทั้งนั้น ถ้ามันมีกิเลสมาเรามีสติในการใช้ชีวิตนะ มีอะไรมาถาโถม มีอะไรคล้ายๆ มาผลักดันให้เราต้องทำ

ถ้าเรารู้ รู้ไป รู้สึกตัวไป เราก็มีสติรู้ไป เราจะเห็นว่าเราภาวนาได้ทั้งวันเลย คล้ายๆ ทุกวันทั้งวันเราจะถูกอารมณ์บดขยี้ทั้งวันเลยนะ  คล้ายๆ ว่ามันจะขยี้เรา คล้ายๆ ตบหัวเราเรื่อยๆ ทั้งวัน ตบหัวผลักดัน เฮ้ย…มึงทำสิวะ…ทำสิวะ อย่างนี้ ใช่ไหม ยกเว้นแต่บางคนสบาย เกิดมาสบาย แต่ส่วนใหญ่ผมบอกเลยไม่ค่อยมีหรอก ทุกวันทุกคนน่ะเครียด ใช้ความเครียดนี่แหละรู้ไป เพราะความเครียด เป็นอะไร เป็นโทสะ นึกออกไหม ความกลัวเป็นอะไร ก็เป็นโทสะ ใช่ไหม ความอยากในการทำงานเป็นอะไร เป็นโลภะ อยากให้งานสำเร็จเป็นโลภะ ใช่ไหม สำเร็จไม่สำเร็จ ควบคุมได้ไหม ไม่ได้นะ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเรา มีสติ ใช้ชีวิตไป เกิดอะไรขึ้นแล้วรู้ เกิดอะไรขึ้นแล้วรู้ ตรงเนี้ยมันจะเป็นตัวที่วัดว่าใครจะภาวนาไปได้ดีหรือไม่ได้ดี 

ถ้าคนที่จริงๆ ภาวนาได้ไม่ดีนะจะรู้สึกว่า ‘กู’ อยู่กับโลกไม่ได้ ผมตีความอย่างนี้นะ ผมไม่ได้พูดว่านะ จะรู้สึกว่าอยู่กับโลกแล้วมีปัญหา มีปัญหากับโลก เพราะอะไร คล้ายๆ คุณจะเอาสิ่งหนึ่งไม่เอาสิ่งหนึ่ง ถ้าจะให้ถูก เราเป็นกลางกับโลก หมายความว่า เราจะอยู่กับโลกหรือไม่อยู่กับโลก ใจเราไม่ได้ต่างกัน หลวงพ่อท่านถึงบอกว่า ถ้าเคยฟังหลวงพ่อนะ บางคนมาบอกว่าอยากจะบวช หลวงพ่อท่านถามก่อนนะ อยากจะบวชเพราะว่าหนีหรือเปล่า เพราะสุดท้ายหลายๆ คนที่ไปบวช ถ้าใครเคยไปบวชจะรู้ว่า หลายๆ คนที่หนีโลกไปบวช คนที่หนีโลกไปบวชส่วนใหญ่อยู่เป็นพระได้ไม่นานหรอก เพราะมันจะเอาสิ่งหนึ่งไม่เอาสิ่งหนึ่ง เขาคิดว่าหนีไปเป็นพระเพื่อจะไปเอาความพ้นโลก แต่จริงๆ โลกของพระก็เป็นอีกโลกๆ หนึ่ง

ถ้าเรารู้อย่างนี้นะ รู้สึกว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้มี ไม่ใช่ว่าเรามีทางหนี เพราะเราหนีทุกข์ไม่ได้ ทุกข์มันเป็นของประจำโลก เราหนีทุกข์ไม่ได้ ถ้าเราหนีเอาสิ่งหนึ่งไม่เอาสิ่งหนึ่งนะ วันหนึ่งเราก็ไปอยู่เป็นพระไม่ได้หรอก วันหนึ่งก็ต้องสึก แต่กับอีกแบบหนึ่ง ถ้าเราภาวนาจนเราเป็นกลางกับโลกนะ จะอยู่กับโลกหรือไม่อยู่กับโลกใจเราเท่ากัน อย่างนี้บางทีครูบาอาจารย์ท่านจะเรียกให้บวชด้วยซ้ำไป คือคนที่พร้อมหรือไม่พร้อมจริงๆ มันอยู่คนละแบบ เพราะฉะนั้นเราใช้ชีวิตไป เจออะไรเกิดขึ้นรู้ไป มันไม่ได้เป็นสิ่งอะไรที่เหนือธรรมดา คือเรามีกิเลสอะไรต่างๆ เข้ามาในชีวิต ก็รู้ไป แล้วเราจะใช้ชีวิตได้ดีด้วย 

บางทีนะ เราจะสังเกตว่าการตัดสินใจในชีวิตของเรา หลายๆ อย่างที่มันผิดพลาด เราลองคิดดูนะ แต่ละอย่างที่มันผิดพลาดของชีวิต หลายๆ ครั้งเราตัดสินใจจากกิเลส มุมมองของกิเลส มุมมองของความโลภ หรือมุมมองของความโกรธ หรือความหลง ถ้ามี 3 อย่างนี้ ครอบงำอยู่ การตัดสินใจเราจะไม่เฉียบคมหรอก เราจะตัดสินใจโดยคล้ายๆ ว่าครึ่งๆ กลางๆ แต่ไม่ใช่หมายความว่ามันผิดนะ แต่หมายความว่าถ้าบางทีเราถูกกิเลสครอบงำอยู่อย่างนี้ การตัดสินใจบางอย่างในชีวิตเรามันอาจจะไปผิดได้

แต่ยังไงก็ตามที่หลวงพ่อบอกว่า “ผิดยังไงก็ตามแต่อย่าถึงขั้นผิดศีล” เพราะศีลเป็นพื้นฐานที่สุดแล้วของนักภาวนา ถ้าเราไปถูกกิเลสครอบงำ แล้วถึงขั้นทำอะไรชั่วหยาบถึงขนาดผิดศีล มันคล้ายๆ ว่าเราขาดความเป็นมนุษย์  ถ้าเป็นมนุษย์จึงจะภาวนาได้ แต่ถ้าเราผิดศีลจิตมันไม่ได้อยู่ในภูมิมนุษย์  ถ้าอย่างภูมิมนุษย์เป็นภูมิที่เรียนธรรมะได้

อาจารย์ณพัทธ์พล คุณาธนะเศรษฐ์ (อาจารย์ซอง)
14 มกราคม 2567
ณ บ้านจิตสบาย

ที่มาคลิปเต็ม: https://www.youtube.com/watch?v=UqPZUyWtjbk&t=11s

#การภาวนาคือการใช้ชีวิตทั้งชีวิต #ชีวิตประจำวันเป็นห้องเรียนกรรมฐาน #ธรรมะสำหรับคนเมือง #มรรคมีองค์8 #กิเลส #บททดสอบจิตใจ #หลวงปู่ปราโมทย์ #หลวงพ่อปราโมทย์ #อาจารย์ณพัทธ์พล #อาจารย์ซอง #อาจารย์ณพัทธ์พลคุณาธนะเศรษฐ์ #คุณาธนะเศรษฐ์ #มั่นคงในธรรมะ #กระทบแล้วรู้ทันจิต #เป็นกลางกับโลก #ทุกข์เป็นของประจำโลก #ถูกกิเลสครอบงำ #ภาวนา #ละกิเลส #ละตัวละตน #มิจฉาสมาธิ #สุขสงบ #รักษาศีล #ศีล #สมาธิ #ปัญญา #การปฏิบัติธรรม #จิตมีสมาธิ #ปฏิบัติ #สมาธิ #สงบ #ภาวนาในชีวิตประจำวัน #บ้านจิตสบาย


ให้โลกทั้งใบเป็นห้องกรรมฐาน