พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล
สมบัติ 4
การที่คอยรู้บ่อยๆ นะมันตรงกับสมบัติ สมบัติของคนทำกรรม คนทำกรรมแล้วจะได้ผลดี มันมีสมบัติอยู่ 4 ข้อ มี (1) คติสมบัติ (2) กาลสมบัติ (3) อุปธิสมบัติ แล้วก็ (4) ปโยคสมบัติ
พระพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้ชี้ทาง ผู้เดินคือพวกเรา
‘พุทธเจ้าเป็นกรรมวาที หมายความว่าพุทธเจ้าสอนเเล้วคนต้องทำ ถ้าไม่ทำไม่ได้’ วันนี้หลวงพ่อก็เตือนพวกเราใช่ไหมว่า “ต้องทำนะ ในรูปแบบต้องทำทุกวันนะ” ถ้าไม่ทำก็ไม่พอ..กำลังไม่พอ จะมาขอกำลังจากหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ให้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าหวงแต่มันให้กันไม่ได้ ต้องไปทำเอาเองก็คือเป็นกรรมวาที พระพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้ชี้ทาง ส่วนผู้เดินคือพวกเรา พระองค์ชี้แล้วก็ต้องไป
อาเนญชสมาธิ
เรื่องมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งพุทธเจ้าได้ยินเสียงอึกกระทึกอยู่ที่พระคันธกุฎี ได้ยินเสียงอึกกระทึกก็เรียกพระอานนท์มาว่า “ไปดูซิว่ามีอะไรเกิดขึ้น ทำไมจึงมีเสียงดังเหมือนกับชาวประมง” ท่านว่าอย่างนี้เลยนะ ใช้คำว่าเหมือนกับชาวประมง ชาวประมงที่ขายปลา เคยไปสะพานปลาไหม…เคยไหม
ถูกความเข้าใจผิดปิดบังอยู่
ท่านบอกว่าคนเรานี้ถูกความเข้าใจผิดปิดบังอยู่ เรียกว่าเป็น ‘สัญญาวิปลาส’ เป็นความหมายรู้ที่ผิด ความหมายรู้ที่ผิดมีอยู่ 4 อย่าง ‘(1) เห็นของไม่สวยว่าสวย’ เห็นอยู่นี่นะ เห็นของไม่สวยว่าสวย แต่คนแต่งงานแล้วก็ต้องทำใจไว้ก่อนว่า เราตัดสินใจมาแล้วก็ต้องยอมรับ รับผิดชอบต่อไป คนที่ยังไม่แต่งงานก็รีบทำความเข้าใจตรงนี้ให้ได้ก่อนว่า มีความเข้าใจผิดอยู่อย่างหนึ่งคือเห็นของไม่สวยว่าสวย ‘เห็นสิ่งที่เป็นอสุภะแล้วหมายรู้ว่าเป็นสุภะ คือเห็นของที่ไม่สวยว่าสวย’ นี่คนทั่วๆ ไปเลย
เรามาภาวนาเพื่ออะไร…?
ท่านให้ดูว่า “เรามาภาวนา เรามีจุดมุ่งหมายอะไรนะ” จริงๆ ไม่ใช่เฉพาะภาวนา เป้าหมายในชีวิตเลยด้วยซ้ำไป ท่านถามว่า “ต้องการความสุข หรือ ต้องการพ้นทุกข์” ถ้าต้องการสุข วิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย มันจะเป็นอีกแบบหนึ่ง เวลาให้ ‘ทาน’ เพื่อความสุข ก็มุ่งหวังว่าจะได้อานิสงส์ให้รวย แล้วก็เวลารักษา ‘ศีล’ ก็อยากให้มีอานิสงส์ให้สวย ให้หล่อ เวลาจะมี ‘ปัญญา’ ภาวนาเพื่อให้ฉลาดหรือจะให้เก่ง ฉลาดหรือเก่งก็คืออยากมีความสุข อยากเก่งกว่าคนอื่น ดีกว่าคนอื่น จริงๆ ก็สนองความเป็นตัวเป็นตน
กระบวนการฝึกจิตตั้งมั่น
จิตตั้งมั่น คนไม่เคยทำเลยอยู่ๆ จะให้ตั้งมั่นไม่ได้ ก็ต้องมีกระบวนการฝึก ฝึกแรกๆ ก็ต้องทำจิตสงบก่อนนี่แหละ สมาธิแบบทั่วๆ ไปก่อน แล้วคอยดูตอนที่มันหลง เมื่อกี้หลวงพ่อก็บอก อยู่ๆ จะให้หลงแล้วรู้เนี่ยจะไปดูได้ยังไงเพราะมันหลงอยู่ตลอด เข้าใจไหม
สัมมาสติ
สมมุติว่าเราเป็นคนขี้โกรธ ก็จะปรุงอะไรที่มันเป็นมาสนองความโกรธเวลา ‘มีสติรู้’ มันจะมีทักษะในการ ‘รู้’ ความโกรธเกิดขึ้นมาพอรู้ทันมันก็จำ..รู้จัก ตอนแรกมันจะรู้จัก โกรธเป็นอย่างนี้ก็รู้ทัน แต่ตอนไม่รู้จักมันจะมองว่าไอ้นั่นเลว..ไอ้นี่ไม่ดีประมาณนี้..
ทำสมถะด้วยใจที่พร้อมจะเผลอ
จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่ายนะ คือไม่ได้บังคับให้มันไม่เผลอ เผลอก็ได้ เผลอแล้วรู้เอา มุมอย่างนี้มันง่าย แต่ความยากก็คือว่าคนส่วนใหญ่เวลาจะคิดถึงเรื่องปฏิบัติ ภาพของนักปฏิบัติของคนที่ยังไม่ปฏิบัติ ก็คือสงบ เราก็อยากจะสงบ ใช่ไหม เราอยากจะสงบนะ พอเริ่มต้น พอเจตนาจะปฏิบัติ หรือเจตนาจะภาวนา ก็เอาสงบเป็นเบื้องต้น แล้วเป็นเป้าหมายเลย ไม่ได้เป็นเบื้องต้นนะ เป็นเป้าหมายเลย