ธรรมะพยายามเรียนไว้นะ ของดีของวิเศษ ในโลกไม่มีอะไรยั่งยืนสักอย่างเดียว ทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป คนในโลกมันก็หลงต่อสู้แย่งชิงกัน ใส่ร้ายป้ายสีกัน เบียดเบียนกัน อยากได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมไปอย่างหนึ่งนะว่าไม่มีอะไรที่จะได้มาจริงหรอก กระทั่งชีวิตร่างกายเราได้มามันก็ได้มาชั่วคราว ไม่นานเราก็ต้องคืนเจ้าของ ร่างกายเราก็ต้องคืนไปสู่ความเป็น ‘ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม’ ไป ‘จิต’ ก็เป็นธาตุอันหนึ่งนะ เป็น ‘วิญญาณธาตุ’ ก็เกิดดับหมุนเวียนไป จิตดวงใหม่มันก็ไม่ใช่ดวงเดิม
อย่างพวกคนจำนวนมากนะ ก็คิดว่าพวกเรามีจิตวิญญาณอยู่ พอเราตายแล้วจิตใจของเราดวงนี้ ออกจากร่างนี้ไปเข้าร่างใหม่ อันนี้เป็นมิจฉาทิฏฐินะ คิดว่าจิตนี้เที่ยง จิตเป็นอมตะ เป็น ‘มิจฉาทิฏฐิ’ ไม่รู้หรอกว่า ‘จิตเองเกิดดับตลอดเวลา’
ถ้าเราภาวนายังไม่ละเอียดพอ เราก็เห็นว่าจิตมีดวงเดียว จิตอยู่กับตัวเรา เดี๋ยวก็วิ่งไปที่ ‘ตา’ แล้วก็วิ่งกลับมา วิ่งไปที่ ‘หู’ แล้วก็วิ่งกลับมา วิ่งไปที่ ‘จมูก’ ที่ ‘ลิ้น’ ที่ ‘กาย’ แล้วก็วิ่งกลับมา วิ่งไป ‘คิด’ แล้วก็วิ่งกลับมา เราคิดว่า ‘จิต’ มีดวงเดียว อันนี้เพราะสติปัญญาของเรายังไม่แก่กล้าพอ ต้องฝึกอีก ถ้าฝึกแล้วเราจะเห็นจิตเกิดที่ไหนก็ดับที่นั้น จิตนั้นเกิดดับสืบเนื่องกันอย่างรวดเร็ว เกิดที่ตาก็ดับที่ตา เกิดที่หูก็ดับที่หู เกิดที่ใจก็ดับที่ใจ เกิดตรงไหนก็ดับตรงนั้น จิตที่เกิดที่ตากับจิตที่เกิดที่หูมันก็คนละดวงกัน ทำหน้าที่ได้แตกต่างกัน จิตที่เกิดที่ตาก็ทำหน้าที่เห็นรูป จิตที่เกิดที่หูทำหน้าที่ฟังเสียง เราจะเอาหูไปเห็นรูปทำไม่ได้ จิตมันเกิดดับทางโน้น…ทางนี้…ใน ‘ทวารทั้ง 6’
คนจำนวนมากนะ ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ พวกหนึ่งก็คิดว่าตายแล้วสูญไปเลยไม่มีอะไรเหลือ อีกพวกหนึ่งคิดว่าตายเฉพาะร่างกาย ในจิตวิญญาณไม่ตาย เดี๋ยวก็จะกลับมาเกิด เหมือนเคยเห็นปูเสฉวนไหม ตัวมันโตขึ้นก็เปลี่ยนเปลือกไปหาเปลือกหอยอันใหม่เข้าไปอยู่ ก็คิดว่าตัวเดิมแต่ย้ายบ้าน ก็คิดว่าจิตนี้ก็ดวงเดิมแต่ย้ายบ้าน คือย้ายที่อยู่ย้ายร่างกายใหม่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ‘ท่านพบว่าการคิดว่าตายแล้วสูญก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ตายแล้วเกิด ตัวเก่าไปเกิดก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ’ ท่านภาวนาท่านก็รู้แจ้งแทงตลอดนะ จริงๆ แล้วขันธ์ 5 มันเกิดดับหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน
‘จิต’ เองก็เกิดดับแล้วก็เกิดดับรวดเร็วมาก…รวดเร็ว อย่างเวลาเราเห็นรูปบางอย่าง แล้วกว่าเราจะคิดได้ว่านี่เป็นรูปอะไร…รูปผู้หญิง รูปผู้ชาย รูปหมา รูปดอกไม้อะไรอย่างนี้ แล้วก็กว่าใจเราจะยินดียินร้ายขึ้นมา มีกระบวนการที่จิตทำงานต่อเนื่องกันจำนวนมาก จิตเกิดดับ…เกิดดับต่อเนื่องกันจำนวนหลายดวงเลย เริ่มแต่จิตไปเห็นรูป ตามันมองเห็นนะ จิตอาศัยตาไปดูรูป จิตที่เห็นรูปนะเกิดแล้วดับทันที ชั่วขณะเดียวเท่านั้น…ดับปุ๊บไป มันมีจิตอีกดวงหนึ่งเป็นเมสเซนเจอร์ (Messenger) รับข้อมูลจากภาพที่เห็นนั้น ส่งเข้ามาสู่จิตส่วนกลาง คนละดวงกันนะ
จิตมันรับข้อมูลเข้ามา มีการประมวลข้อมูล มีการวิเคราะห์ข้อมูล กว่าจะรู้ว่านี่คือรูปอะไร พอรู้ว่ารูปอะไรแล้วก็มีจิตมาตัดสินอีกว่าต่อไปนี้ จิตจะเกิดกุศลหรือเกิดอกุศล เลือกไม่ได้…เราเลือกไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่างแค่ตาเราเห็นรูปนะ มีจิตเกิดดับสืบเนื่องตั้งเยอะ กว่าจิตเราจะเกิดกุศล-อกุศล ยินดียินร้ายอะไรขึ้นมา เกิดกุศล-อกุศลยินดียินร้ายขึ้นมาแล้วนะ ก็ไม่ได้จบแค่นั้น ก็ยังมีกระบวนการที่จิตมันทำงานต่อเนื่องไปอีก ก่อนที่มันจะตกภวังค์ มันจะลงจากวิถีที่ขึ้นมารับอารมณ์ทางตาต่อเข้ามาที่ทางใจ ก่อนที่มันจะตกภวังค์ลงไปมันมีการเซฟ (Save) ข้อมูลคล้ายๆ คอมพิวเตอร์เลย ต้องบอกว่าคอมพิวเตอร์มันคล้ายๆ จิตมากกว่า จิตมันเกิดก่อนคอมพิวเตอร์ อย่างเวลาเราชัดดาวน์ (Shut down) เครื่องมันไม่ได้ดับทันที มันต้องเซฟข้อมูลลงไปก่อน แล้วมันถึงจะปิดเครื่องได้ จิตพอมันขึ้นมาเสวยอารมณ์จะเป็นกุศล-อกุศลก็ตามเถอะ ก่อนที่มันจะลงภวังค์จบกิจกรรมอันนี้ มันเป็นการเก็บข้อมูลเอาไว้ บุญหรือบาปที่เราทำนะไม่ได้สูญหายไป ถูกเก็บบันทึกลงไปใน ‘ภวังคจิต’ นะ
แล้วก็ถัดจากนั้นเวลากระทบอารมณ์ครั้งใหม่ จิตก็ขึ้นจากภวังค์ จิตขึ้นจากภวังค์นะแล้วขึ้นมารับอารมณ์ อย่างเวลาเรานอนหลับลึกๆ จิตอยู่ในภวังค์ไม่รับรู้อะไรข้างนอก อย่างมากก็มีอารมณ์เก่าๆ ฝันอะไรต่ออะไรตามอารมณ์เก่าๆ ไป นี่พอจิตสมมุติว่าเรานอนหลับสนิทอยู่นะแล้วมันมีสิ่งบางสิ่งมากระตุ้นให้ตื่น สังเกตดูให้ดีตอนที่จิตมันขึ้นจากภวังค์นะมันยังไม่รู้นะ ว่าอะไรทำให้มันตื่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำให้ตื่นเป็นเสียงแปลกๆ หรือเป็นกลิ่นแปลกๆ อย่างบางคนตื่นขึ้นมานะต้องใช้เวลานิดนึงถึงจะรู้ว่า โอ้…เมื่อกี้ตื่นเข้ามาเพราะมันมีเสียงคล้ายๆ ผู้ร้ายปีนบ้านเราละ ค่อยๆ ขึ้นมานะ ทำงานเป็นช็อตๆ ขึ้นมา พอแปลความหมายได้แล้วผู้ร้ายขึ้นบ้าน ใจก็กลัวนะ ค่อยทำงานต่อเนื่องกันไป
ใจกลัว สะสมโมหะไว้นะ ไอ้ใจกลัวนี่เป็นโทสะ ใจไม่สบาย เครียด ก็สะสมความเคยชิน คนไหนเคยขี้กลัวมันจะยิ่งขี้กลัวมากขึ้นมากขึ้นนะ คนไหนขี้โลภแล้วตามใจกิเลสเรื่อยๆ มันก็จะขี้โลภมากขึ้น คนไหนขี้โกรธ ตามใจ…โกรธแล้วก็ตามใจตัวเองเรื่อยๆ มันก็จะโกรธเก่งขึ้นเรื่อยๆ สะสมนะ เนี่ยทุกสิ่งทุกอย่างมันถูกสะสมเอาไว้ในภวังคจิต ภวังคจิตก็เป็นจิตชนิดหนึ่ง เป็นจิตอีกชนิดหนึ่งเหมือนจิตที่ไปรู้รูป จิตที่ไปได้ยินเสียงอะไรพวกนี้ หรือจิตที่คิดนึกปรุงแต่งว่าอันนี้ชั่ว อันนี้ดีอะไรอย่างนี้
เพราะฉะนั้นจิตนะมีสารพัดจิตนะ มีมากมาย ทำงานต่อเนื่องกันเป็นช็อตๆ ช็อตๆ ไป อย่างหลวงพ่อตอนหัดภาวนา ตอนที่เห็นสภาวะอันนี้ทีแรก นอนหลับอยู่แล้วตอนตื่น จิตมันขึ้นจากภวังค์แล้วรู้สึกเลย จิตมันผุดขึ้นมา ผุดขึ้นมาจากความว่างๆ ผุดปุ๊บ…ขึ้นมาทีแรก เหมือนรู้แต่ไม่รู้ว่ารู้อะไรนะ แล้วต่อมาจิตมันขยายความรับรู้ออกมา มันรู้ความรู้สึกนึกคิดแล้วมันขยายความรับรู้ไปอีก รู้ร่างกายเห็นร่างกายนอนท่านั้นท่านี้ เห็นมันทำงานเป็นช็อตๆ ช็อตๆ
ค่อยๆ ฝึกนะเราจะรู้ว่าจิตไม่ได้มีดวงเดียว แต่จิตมีทีละดวง ทำงานต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ฉะนั้นจิตนั้นเกิดดับตลอดเวลา ถ้าเราเห็นตรงนี้เราจะรู้เลยว่ามันไม่มีตัวเราที่แท้จริง ไอ้สิ่งที่เราคิดว่าตัวเราๆ มันผ่านกระบวนการปรุงแต่งมาตั้งช่วงหนึ่งแล้ว มันถึงจะมาสรุปว่า…นี่ตัวเรา เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วตัวเราไม่มี มีแต่ของที่เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไปทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งที่เป็นตัวตนถาวรอะไรทั้งสิ้น
ฟังดูยากนะ ที่จริงไม่ได้ยาก แค่ละเอียดเท่านั้นเอง เราก็ต้องพยายามฝึกตัวเองให้ ‘สติ’ ของเราเร็วขึ้นๆ นะ ถ้าสติเราเร็วเราก็จะเห็นกระบวนการเหล่านี้ได้ ถ้าสติเราอืดอาดล่าช้า กว่าสติจะเกิดนะ โอ๊ย…เนิ่นนาน เราก็จะหลงผิดนะว่าจิตมีดวงเดียวแล้วจิตดวงนี้วิ่งไปวิ่งมา วิ่งไปทางตาแล้วก็วิ่งกลับมา เคยเห็นแมงมุมไหม แมงมุมชักใยใช่ไหม เดี๋ยวก็วิ่งไปข้างซ้าย…เดี๋ยวก็วิ่งไปทางขวา แล้วก็กลับมาอยู่ตรงกลางทุกที แล้วให้คิดว่าจิตนี้วิ่งไปวิ่งมาแล้วก็กลับมาอยู่ตรงกลาง ตอนแรกๆ ที่หลวงพ่อภาวนา หลวงพ่อเห็นจิตมันวิ่งไปวิ่งมา แล้วจิตมันก็รู้ จิตมันไม่ใช่เรา มันทำงานของมันได้เอง คิดนึกปรุงแต่งของมันได้เอง
ก็ภาวนามาเรื่อย…เรื่อยๆ นะ ก็เห็น เอ๊…จิตไปทางโน้นไปทางนี้ เกิดที่ตาแล้วก็ดับ เกิดที่หูแล้วก็ดับ เกิดที่จิตแล้วก็ดับ ที่ใจเราก็ดับ เกิดที่ไหนดับที่นั่น ก็สงสัยนะ เกิดความสงสัย เอ๊ะ…เราจะภาวนา เราควรจะเอาจิตไปตั้งไว้ตรงไหน เอาจิตไปตั้งไว้ตรงไหนดี ตอนนั้นก็นึกนะ เอาตั้งไว้กลางหน้าอกนี่แหละมั้ง เพราะเราเห็นกิเลสผุดขึ้นจากกลางหน้าอกนี่นะ กุศลก็ผุดขึ้นจากกลางหน้าอก ผุดขึ้นตรงนี้ อะไรๆ ก็โผล่ขึ้นมาจากกลางหน้าอกนี่แหละ ก็เลยคิดว่าเราควรจะเอาจิตไปตั้งไว้ตรงนี้ พอดีได้เจอหลวงปู่ดูลย์ เข้าไปถามท่าน “หลวงปู่ครับ จิตมันตั้งอยู่ที่ไหน” คำตอบในใจเรา…คือตั้งอยู่ตรงนี้ หลวงปู่ตอบชัดเจนว่า “จิตไม่มีที่ตั้ง จิตเกิดที่ไหน จิตดับที่นั่น” อ้าว…แล้วเวลาเราภาวนา เราจะทำยังไงอ่ะ ‘เราก็รู้อย่างที่รู้ได้’ ไม่ต้องไปตั้งเอาไว้ก่อนแล้วไปรอดูนะ ถ้าเราเอาจิตไปตั้งไว้ตรงนี้ แล้วรอดูว่าเมื่อไหร่จะมีอะไรเกิดขึ้น นี่ผิดแล้วนะ ดูจิตผิดละ ‘ดูจิตที่ถูกต้องก็คือ จิตมันเป็นยังไงรู้ว่าเป็นอย่างงั้น ไม่ต้องไปรอดู’ รอให้ความสุขผุดขึ้นมาแล้วก็รู้ว่ามีความสุข ความทุกข์ผุดขึ้นมาแล้วรู้ว่ามันทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์เฉยๆ ผุดขึ้นมาก็รู้ว่าไม่สุขไม่ทุกข์ กุศลผุดขึ้นมารู้ว่าเป็นกุศล โลภโกรธหลงผุดขึ้นมาก็รู้ว่ามันโลภมันโกรธหรือมันหลงนะ รู้ไปทีละช็อต ทีละช็อต รู้ความรู้สึกทั้งหลายที่มันเกิดขึ้นมาถ้าเราคอยดูอย่างนี้เรื่อยๆ นะ เราไม่เอาจิตไปตั้งรอดู
หลายคนภาวนาที่หลวงพ่อเห็นนะ พอคิดจะดูจิตแล้วก็จ้องเลย รอดู…พยายามจ้อง บางคนไม่รู้จะจ้องที่ไหนก็ส่ายไปส่ายมา สแกนไปเรื่อย มีไหม…ใครทำนะ ตรงไหนดี…ดูตรงไหนดี…ดูนะ เอาละตรงนี้ เอาตรงนี้…ก็จ้องเฝ้าไว้ นี่เป็นการดูจิตที่ผิดนะ
การดูจิตข้อแรกเลยก็คืออย่าดักดู อย่าไปดักดู ให้ความรู้สึกมันเกิดก่อนแล้วค่อยรู้เอา หรือให้จิตมันทำงานไปก่อนแล้วค่อยรู้เอา อย่างให้มันมีความสุขผุดขึ้นมาแล้วค่อยรู้เอานะ ไม่ต้องไปรอดูว่าต่อไปนี้อะไรจะโผล่ขึ้นมานะ หลายคนที่ภาวนาแล้วดูจิตๆ แล้วดูไม่ได้เรื่องเลยนะ ก็เพราะว่าไปดักดู ฉะนั้นกฎของการดูจิตข้อแรกอย่าดักดู จิตเป็นยังไงก็รู้อย่างที่ เท่าที่รู้ได้อ่ะ ไม่ต้องไปฝืน ไม่ต้องไปบังคับจิต กฎข้อที่ 2 ก็คือเมื่อมันผุดขึ้นมาแล้ว เวลาดูนะดูแบบคนวงนอกนะอย่าถลำลงไปดู
หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม จังหวัดชลบุรี
15 ธันวาคม 2567
ณ บ้านจิตสบาย
©มูลนิธิสื่อธรรมหลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ที่มาคลิป: https://youtu.be/uqnzt9W5x0Y
#จิตมีทีละดวง #จิตเกิดที่ไหนจิตดับที่นั่น #หลวงปู่ปราโมทย์ #ไม่มีตัวเราที่แท้จริง #มีแต่ของที่เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับ #ไม่มีสิ่งที่เป็นตัวตนถาวร #จิตก็เป็นธาตุ #วิญญาณธาตุ #จิตเกิดดับหมุนเวียนไป #จิตดวงใหม่ไม่ใช่ดวงเดิม #หลวงปู่ปราโมทย์ปาโมชฺโช #หลวงพ่อปราโมทย์ #หลวงพ่อปราโมทย์ปาโมชฺโช #มิจฉาทิฏฐิ #จิตเกิดดับในทวารทั้ง6 #จิตเกิดดับสืบเนื่อง #จิตเกิดที่ตาก็ดับที่ตา #จิตเกิดที่หูก็ดับที่หู #จิตเกิดที่ใจก็ดับที่ใจ #จิตเกิดตรงไหนก็ดับตรงนั้น #ตายแล้วสูญเป็นมิจฉาทิฏฐิ #ขันธ์5 #เกิดดับหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตามเหตุตามปัจจัย #ยินดียินร้าย