ถ้าเราดูสภาวะอะไรไม่เป็นหลวงพ่อแนะนำให้ดูสภาวะชุดหนึ่งนะที่ดูง่าย คือ ‘ความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ หรือรู้สึกเฉยๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์’ จิตทุกดวงจะต้องมีเวทนาประกอบด้วยเสมอ กระทั่งจิตที่เป็นของพระอรหันต์ มหากิริยาจิตก็ยังมีเวทนา ฉะนั้นจิตทุกดวงมีเวทนา เราหัดอ่านสิ สังเกตจิตใจของเราไปเรื่อยๆ ตอนนี้จิตใจเรามีความทุกข์ให้รู้ ตอนนี้จิตใจเราสุขให้รู้ ตอนนี้จิตใจเราเฉยๆ ให้รู้ ทั้งวันรู้มันอยู่แค่นี้ ดูซิว่ามันจะไม่ได้มรรคผลนะ หัดรู้ไปเรื่อยๆ ทำไมมันจะไม่ได้ หัดรู้ไปเรื่อยๆ ยากไหมที่จะรู้ว่าตอนนี้ จิตสุข หรือจิตทุกข์อ่ะ หรือจิตเฉยๆ ใครมีความสุขบ้างตอนนี้ ใครมีความทุกข์บ้าง ใครเฉยๆ บ้าง เฉยๆ เยอะนะ..อุเบกขา แต่ที่เยอะมากกว่านั้นคือไม่รู้นะ ทำไมไม่รู้..เพราะมัวแต่ฟังหลวงพ่อเพลินไปอ่านใจตัวเองไม่ออก
ฉะนั้นที่หลวงปู่ดูลย์บอกให้อ่านจิตตนเองนะไม่ได้เรื่องยากหรอก อ่านง่ายๆ ที่สุดเลยก็อ่าน ‘เวทนาทางใจ’ จิตเรามีความสุขเรารู้ จิตเราทุกข์เรารู้ จิตเฉยๆ เรารู้ หัดรู้ไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ นะ แล้วต่อไปเวลาเรานั่งๆ อยู่แล้วใจเราไปคิดถึงศัตรูเราเนี่ย ใจเราเกิดโทสะแล้ว มันจะแน่นขึ้นมามันมีความทุกข์ขึ้นมาทันทีเลย หรือเราอยากนั่งสมาธิพอคิดถึงการนั่งสมาธิก็ลงมือนั่ง แล้วใจเรามันแน่นๆ ขึ้นมาเลย อันนี้จิตเป็น ‘อกุศล’ แล้วนะ ทำไมนั่งสมาธิแล้วจิตเป็นอกุศล ก็มันเริ่มด้วยโลภะ มันเริ่มด้วยโลภ มันอยากสงบ มันอยากดี อยากรู้อยากเห็น อยากเป็น อยากได้ อยากดี เต็มไปด้วยคำว่าอยากนะ เนี่ยหัดดูไปง่ายๆ นะ
หัดดูไปเรื่อย ใจเราสุขก็รู้ ใจเราทุกข์ก็รู้ ใจเราเฉยๆ ก็รู้ มีอีกตัวหนึ่งบางทีหลวงพ่อก็สอนบางคนให้ดู เมื่อวานยังสอนพระที่วัดให้ดู ดูอยาก ‘ตัวอยาก..ตัวโลภะ ตัวตัณหา’ เวลาที่ใจเราเกิดความอยากขึ้นมาให้รู้ ไม่ว่าอยากอะไรนะ ทีแรกต้องอยากแรงๆ ถึงจะเห็นนะ ดูมันตัวเดียว ดูตัวอยากนี่แหละ เราก็เห็นนะ จิตทั้งวันเต็มไปด้วยความอยาก มีอยากแล้วก็มี..ไม่อยาก มีอยากแล้วก็มีไม่อยาก ดูง่ายนะ ถ้าดูสภาวธรรมจำนวนมากเลยนะ 52 ตัวอะไรนะตาย..ดูกันไม่ไหว เอาตัวที่เราถนัดนะ ตัวที่หลวงพ่อว่าดูง่ายๆ นะ อย่างตัวสุข ตัวทุกข์ ตัวเฉยๆ ขณะนี้สุขก็รู้ ขณะนี้ทุกข์ก็รู้ ขณะนี้ใจเราเฉยๆ ก็รู้ มีอยู่ 3 อันเอง
หัดรู้หัดดูไปเรื่อยๆ ต่อไปเวลาความรู้สึกเกิดขึ้นในใจเรา มันเปลี่ยนแปลงขึ้นมาปุ๊บ เราจะเห็นเองเลยเพราะตาเราเห็นรูป มีผัสสะตามองเห็นรูป แล้วแปลความหมายได้นี่ ดอกไม้สวยมีความสุขที่ได้เห็นบรรยากาศที่ดี ดอกไม้สวยงามอะไรอย่างนี้ ใจเกิดความสุขขึ้นมา ที่จริงตอนที่ตาเห็นดอกไม้ยังไม่ได้มีความสุขนะ ถ้าเราละเอียดพอแล้วตอนนั้นจะเป็น ‘อุเบกขา’ แต่พอมันมีการแปลความหมาย นี่ดอกไม้นะ นี่ทุ่งหญ้า นี่มีไอหมอกตอนเช้า แหมสวย..พระอาทิตย์เพิ่งจะทอแสงอ่อนๆ นะ เห็นแล้วมีความสุขอ่ะ ความสุขมันเกิดตามหลังการคิดมานะ พอความสุขเกิดขึ้นนะ มันจะมีราคะแทรก แทรกตามเวทสุขเวทนา มันจะมีราคะแทรก พอมีราคะแทรก มันก็จะบงการให้เราเกิดความอยาก อยากได้ โอ้..ดอกไม้สวยอยากได้ละนะ อยากจะเด็ดมา..อะไรอย่างนี้นะ อันนี้อยากได้มา ไปแอบเด็ดมาแล้วก็ต้องรักษาหวงแหนนะ นี่ก็เป็นอยากรักษาเอาไว้ แล้วเอาดอกไม้มาถือ โอ้ย! มีหนอนตัวเบ้อเร่อเลยซ่อนอยู่ในดอกกุหลาบนะ คราวนี้ไม่เอาแล้วโยนทิ้ง อยากให้มันไปไกลๆนะ นี่อยากอีกแล้วนะ ‘อยากให้มันหมดไปสิ้นไป’ อยากมันเลยมี 3 อยาก
1. อยากได้มา 2. อยากรักษาเอาไว้ 3. อยากให้มันหมดไปสิ้นไป
เห็นไหมมี 3 ตัว คอยอ่านใจของตัวเองนะ ใจเราอยากได้มา อยากได้อะไรก็รู้เอา ทีแรกก็รู้แต่ของหยาบๆ ต่อไปละเอียดนะ แค่อยากฟังนะ แค่อยากดู แค่อยากฟัง แค่อยากเข้าใจ..ก็อยากแล้วนะ ฟังหลวงพ่อเทศน์อยากเข้าใจไหม เออให้รู้สิ! แล้วจะเข้าใจ เข้าใจอะไร เข้าใจตัวเอง เข้าใจธรรมะนะ ธรรมะไม่ได้อยู่ที่หลวงพ่อ ที่หลวงพ่อเทศน์ๆ ให้เราฟังแค่ไกด์ไลน์ให้พวกเราเท่านั้นเอง แล้วเราต้องเห็นธรรมะของจริงในใจของเราเอง
ตอนนี้ใครเห็น ‘สุข ทุกข์ เฉยๆ’ บ้าง อันใดอันหนึ่ง ใครดูเป็นละ? เออใครดูพอดูได้เห็นไหม ไม่เห็นมีกระบวนท่าอะไรยากเย็นที่จะรู้เลย มีความสุขก็รู้ว่ามีความสุข คนส่วนใหญ่มันละเลยที่จะรู้นะ อย่างพอมีความสุขนะ เห็นดอกไม้แล้วมีความสุขมันก็ดูแต่ดอกไม้ มันไม่ดูว่าใจกำลังมีความสุขนะ หรือใจกำลังมีราคะอะไรอย่างนี้ มันไม่ดู มันไม่ใช่ว่าดูไม่ได้ มันดูได้ทุกคนแหละนะ อย่างร่างกาย ร่างกายนั่งอยู่รู้สึกไหม ต้องทำใจให้สงบก่อนไหม ถึงจะรู้ว่าร่างกายนั่ง เนี่ยร่างกายส่ายหัวดุ๊กดิ๊กรู้ไหม ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลยเห็นไหม เพราะฉะนั้นหัดดูไปเรื่อยๆ นะ ดูกาย..ร่างกายหายใจรู้ ร่างกายมันเคลื่อนไหวก็รู้ ร่างกายอยู่ในอิริยาบถอะไรก็รู้ หัดรู้ไปก็ได้ หรือรู้เวทนา แต่เวทนาจะแนะนำให้ดูเวทนาทางใจ เวทนาทางกายดูยาก ถ้าไม่ทรงฌานนะสติแตก มันทนเจ็บไม่ไหว
พอหลวงพ่อหยุดนิ่งสังเกตไหม จิตของเราก็เปลี่ยน มันพลอยนิ่งตามไปด้วยรู้สึกไหม ทีแรกฟังเพลิน มีความสุขส่วนใหญ่ตอนนี้มีความสุขล่ะ แล้วรู้สึกไหม..สบาย วันนี้ได้ฟังธรรมะแล้วได้บุญแล้วสบายนะ ตายไปยมบาลถามมีความดีอะไรบ้าง มาฟังเทศน์ โยมบาลถามตอบว่าเทศน์เรื่องอะไรอ่ะ เออๆ..เดี๋ยวขอคิดก่อน
เห็นไหมจิตมีความสุข..รู้สึกไหม ยากไหมที่จะรู้ว่ามีความสุข ไม่เห็นยากตรงไหนเลย แล้วไอ้ที่ส่ายหัวดุ๊กดิ๊กดุ๊กดิ๊กนะ ยากไหมที่จะรู้ว่าร่างกายเคลื่อนไหว ฉะนั้นจริงๆ แล้วหลวงปู่ดูลย์ท่านพูดมา ที่สอนหลวงพ่อนะ ประโยคแรกเลย “การปฏิบัตินั้นไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ” การปฏิบัติยากตรงไหน ขยับก็รู้สึกอย่างนี้ไม่ใช่ยากอะไร มันก็รู้ด้วยจิตธรรมดานี่เองนะ หรือจิตใจเราสุขจิตใจเราทุกข์ ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย มันละเลยที่จะรู้ถ้าหัดสังเกต..หัดรู้เรื่อยๆ มันก็ไม่ยากหรอก หรือจิตใจเรามีความอยากเกิดขึ้นเราก็รู้ ตอนนี้มันอยากมันอยากพูดแล้ว บางคนอยากพูด เคยเจอไหมพวกอยากพูดนะ เราบอกเฮ้ย…หยุดก่อนๆ หยุดไม่ได้นะจะตายแล้วต้องพูด ความอยากพูดมันล้นๆ พอ(บอก)อย่าเพิ่งพูด ไม่ไหวแน่นไปหมดเลยนะ พอปล่อยให้พูดแล้ว ไปเรื่อยเลย..ไม่มีสติ ยากไหมที่จะรู้ว่าอยาก ภาษาไทยก็ฟังยากนะ ให้ต่างชาติมันฟังนะ ‘ยาก’ กับ ‘อยาก’
มันไม่ยากหรอกนะ หลวงปู่ดูลย์บอก การปฏิบัติไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ อย่างขณะนี้จิตใจเราจะมีความสุขเป็นส่วนใหญ่ จะมีพวกข้างในขมวด หลวงพ่อนี่พูดเรื่องอะไร ให้รู้ว่าสงสัย เออ..เห็นไหม มันมีสภาวะทั้งนั้นแหละ งง..งงเนี่ยมัวไปแต่คิดหาคำตอบ งงรู้ว่ากำลังงง งงรู้ว่ากำลังสงสัยอยู่นะ เอ๊ะ..ทำไมเราต้องคิดเยอะ เพราะเราอยากเข้าใจ เห็นไหม มีอยากนำหน้าล่ะเห็นไหม ถ้ารู้เข้าไปที่อยากนะ จะคิดเรื่องอะไรไม่สำคัญรู้ว่าอยาก..จบ
หัดดูสภาวะนะ สรุปก็คือไปหัดดูสภาวะที่เราถนัดนะ อย่างหลวงพ่อได้จิตที่เป็นผู้รู้ทีแรกนะ ตอนเด็กไม่นับนะ อันนั้นได้มาจากการนั่งสมาธิ นี้ตอนที่เจอหลวงปู่ดูลย์แล้วเนี่ย มานั่งสังเกตจนกระทั่งจิตมันผุด ผุดคำสวดมนต์ขึ้นมา จิตมันสวดมนต์นะ สมองเราก็คิดพุทโธสุสุทโธกรุณามหาณโว กระแสความคิดผุดขึ้นจากกลางอก ตัวนี้เรียกว่า ‘วิตก’ ก็เป็นสภาวะตัวหนึ่ง เรารู้ทันปุ๊บ..จิตก็กลายเป็นผู้รู้เลย พอจิตเป็นผู้รู้แล้วนะ หลวงพ่อก็ตัวนี้ของเก่าเรามีมาตั้งแต่เด็กละ ตั้ง 10 ขวบก็ได้มาแล้วตัวนี้แต่ได้จากการนั่งสมาธิ
ฉะนั้น ‘ตัวรู้’ มันเกิดจาก 2 แบบ
(1) แบบหนึ่งจากการ ‘นั่งสมาธินะแบบมีสติ’ ไม่นั่งเคลิ้มนะ นั่งแล้วมีสติให้จิตมันละวิตกวิจารณ์ มันทวนกระแสเข้ามาที่จิตให้จิตเกิดเป็นผู้รู้ขึ้นมา ผู้รู้ตัวนี้จะทรงอยู่ได้หลายวัน..มีกำลัง
(2) ส่วนวิธีอีกวิธีหนึ่งของพวกสมาธิสั้น คือพวกเรานี่แหละ ‘อาศัยรู้สภาวะ’ สภาวะธรรมอย่างโลภ โกรธ หลงเป็นสภาวะนะ สุขทุกข์เป็นสภาวธรรม ความอยากก็เป็นตัวโลภ..ก็เป็นสภาวธรรม
ฉะนั้นหัดรู้สภาวะไปเรื่อยๆ นะ หัดไปเรื่อยๆ เริ่มต้นรู้คู่ใดคู่หนึ่งก็พอละ อย่างเช่น จิตโกรธกับจิตไม่โกรธ จิตโลภกับจิตไม่โลภ ตอนนี้อยากตอนนี้เฉยๆ หัดรู้สิ่งที่เป็นคู่ๆ นะ ตอนนี้สุขตอนนี้ทุกข์อย่างนี้ ตอนนี้สุขตอนนี้เฉยๆ อันนี้ก็เป็นเซต (Set) หนึ่งนะมี 3 ตัว ‘สุข ทุกข์ เฉยๆ’
หัดเรียนกรรมฐานนะเรียนเซตเดียวพอ คู่เดียวพอละ เห็นจิตโกรธกับจิตไม่โกรธ ทั้งวันก็มีแต่จิตโกรธกับจิตไม่โกรธ ถ้าเราดู ‘ตัวอยาก’ ทั้งวันก็มีแค่ตอนนี้อยากตอนนี้ไม่ได้อยาก..ก็มีแค่นี้เอง หัดดูอย่างนี้เรื่อยๆ นะ ก็ได้จะเห็นว่าจิตเราเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา เดี๋ยวเหวี่ยงซ้ายเดี๋ยวเหวี่ยงขวา เดี๋ยวอยากเดี๋ยวไม่อยาก เดี๋ยวโกรธเดี๋ยวไม่โกรธ ตรงที่มันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาเนี่ยมันกำลังสอนไตรลักษณ์เรา จิตอยากก็ไม่คงที่ จิตไม่อยากก็ไม่คงที่ จิตโกรธก็ไม่คงที่ จิตไม่โกรธก็ไม่คงที่ เพราะงั้นเวลาเรียนธรรมะนะ เรียนเป็นคู่..คู่เดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องเรียนเยอะหรอก
ต่อไปมอบหมาย (Assign) ให้ไปอ่านหนังสือที่หลวงพ่อเขียนไว้เล่มหนึ่งนะ ชื่อหนังสือชื่อ “เรียนทำคู่เพื่อรู้ธรรมหนึ่ง”
หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม จังหวัดชลบุรี
16 กุมภาพันธ์ 2568
ณ บ้านจิตสบาย
©มูลนิธิสื่อธรรมหลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ที่มาคลิปเต็ม: https://youtu.be/XN2v-Zlqljg?si=JJsNgo3fTzBvgpvb
#รู้แจ้งในธรรมคู่แล้วจะรู้ธรรมหนึ่ง #เรียนธรรมคู่เพื่อรู้ธรรมหนึ่ง #หลวงปู่ปราโมทย์ #หลวงปู่ดูลย์ #หลวงปู่ปราโมทย์ปาโมชฺโช #หลวงพ่อปราโมทย์ #หลวงพ่อปราโมทย์ปาโมชฺโช #ดูสภาวะ #จิตทุกดวงมีเวทนา #สังเกตจิตใจ #มีความทุกข์ให้รู้ #จิตใจเราสุขให้รู้ #จิตใจเราเฉยๆให้รู้ #อ่านจิตตนเอง #เวทนาทางใจ #ตัวอยาก #ตัวโลภะ #ตัวตัณหา #ตัวรู้ #อยากได้มา #อยากรักษาเอาไว้ #อยากให้มันหมดไปสิ้นไป #อ่านใจตนเอง #การปฏิบัตินั้นไม่ยาก #ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ #รู้ด้วยจิตที่เป็นธรรมดา